-- มุมมองของอเดล
--
「ทำไมรูซคุงถึงได้เข้าไปอยู่กับตระกูลเนอราเชียงั้นเหรอคะ?」
ในระหว่างการเดินทางไปยังเมืองกูสตาฟ
ชั้นและกองทหารอาสาจากหลายอาณาเขตได้มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ และเนื่องจากพวกเรายังพอมีเวลาอยู่
ชั้นจึงได้ถามคำถามที่รู้สึกสงสัยมาตลอดกับรูซคุง
หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นที่ได้มาเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย
「อเดลจัง...ไม่สิ...ท่านหญิงอเดล
สำหรับท่านหญิงอเดลที่เป็นขุนนางระดับสูงแล้ว
มีความคิดอย่างไรกับผมและพวกเพื่อนๆคนอื่นที่เป็นเพียงสามัญชน
แต่กลับได้เข้าไปเรียนในสาขาจอมเวทงั้นเหรอครับ?」
แต่กลับคำถามของชั้นนั้น
รูซคุงกลับตอบกลับมาด้วยคำถามเสียเอง....ตัวชั้นคิดอย่างไรกับพวกสามัญชนงั้นเหรอ ?
สำหรับตัวชั้นที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลอัศวินนั้น
ชั้นแทบไม่ได้สนใจฐานะของเพื่อนๆเลย ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือเป็นราชวงศ์
ชั้นก็คิดว่าทุกคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดี
ชั้นจึงให้ความสำคัญกับทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน....และพอชั้นตอบกลับไปแบบนั้น
รูซคุงก็แสดงรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าดีใจออกมา
「แต่สำหรับบุคคลคนอื่นๆแล้ว
ในสายตาของพวกเค้าไม่ได้มองพวกเราอย่างเท่าเทียมกันหรอกนะครับ....」
จากนั้น
รูซคุงก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆในช่วงที่ผ่านมาให้กับชั้นฟัง
ซึ่งเรื่องราวมันก็เริ่มต้นขึ้นจากการที่เค้าพยายามฝึกฝนเวทมนต์อย่างหนักหน่วง
และหลังจากเข้ารับการทดสอบต่อเนื่องถึง 39 ครั้ง ในที่สุดรูซคุงก็สามารถสอบผ่าน
และเข้ามาเป็นนักเรียนสาขาเวทมนต์จนได้
แต่สำหรับรูซคุงที่เป็นสามัญชนแล้ว
การได้เข้ามาอยู่ในสาขาเวทมนต์นั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
เพราะความอิจฉาจากบรรดาลูกขุนนางมากมายจากหลากหลายประเทศ
และยังมีความโลภที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากรูซคุงที่จะมีโอกาสจะได้กลายเป็นถึงจอมเวท
ผู้คนเหล่านั้นต่างพากันเข้ามาตามรังควานรูซคุงแทบจะตลอดเวลา
บ้างก็นินทาว่าร้าย บ้างก็มายื่นข้อเสนอต่างๆ ซึ่งการจะปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่เป็นสามัญชน
โดยสำหรับเรื่องนี้เองตัวชั้นนั้นเข้าใจดี
เพราะชั้นเองก็มีจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงตัวดูอยู่หลายครั้ง
แต่ด้วยที่ชั้นมีพี่สาวและพี่เขยคอนสนับสนุนอยู่
ดังนั้นการปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ใช่เรื่องนัก
และในวันหนึ่งที่รูซคุงกำลังลำบากกับการหาทางปฏิเสธผู้คนมากมายที่พยายามเข้ามาติดต่อซื้อตัวอยู่นั้นเอง
เด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอที่ไม่อาจจะทนนิ่งเฉยได้เข้ามาห้ามปรามและต่อว่าขุนนางจากต่างประเทศ
และนั่นก็ทำให้เธอเกือบที่จะขุนนางพวกนั้นทำร้าย
ซึ่งในตอนนั้นเองที่เธอได้รูซคุงช่วยปกป้องเอาไว้...
ไม่รู้ทำไม....ชั้นรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะกลายเป็นเรื่องราวความรักโรแมนติคขึ้นมาซะแล้ว
เรื่องแบบนี้มันเหมือนกับพวกนิยายรักของยูเมะซามะ
ที่กำลังโด่งดังอยู่ในเมืองสเตรเชียช่วงนี้เลยล่ะค่ะ....
「ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเธอคนนั้น......ท่านหญิงมาริเอลจะเป็นขุนนางจากตระกูลเนอราเชีย....」
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ทั้งสองคนก็เริ่มคบหาเป็นเพื่อนกัน
และในวันหนึ่งรูซคุงก็ได้ถูกท่านหญิงมาริเอลสารภาพรัก...นี่ถึงขนาดปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเริ่มก่อนเลยเหรอเนี่ย
ไม่สิ
บางทีการที่ชั้นเอาผู้ชายคนอื่นๆไปเทียบกับเจ้าพี่เขยสุดเจ้าชู้นั้นคงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักล่ะมั้ง.....
「ทางตระกูลเนอราเชีย
บอกว่าจะเป็นคอยผู้สนับสนุนให้กับผม
และทางนั้นเองไม่ได้เรียกร้องเรื่องอื่นๆเลยนอกจากความสุขของท่านหญิงมาริเอล
และท่านไวส์เคานท์หญิงโนเอลก็ยังมอบบ้านหลังใหญ่ที่เมืองเนอราเชียให้กับครอบครัวของผมที่อาศัยอยู่ในห้องเช่าราคาถูกของเมืองสเตรเชียด้วย....」
นอกจากจะยกลูกพี่ลูกน้องแสนสวยให้แล้ว
ท่านไวส์เคานท์หญิงโนเอลก็ยังมอบบ้านและที่ดินเพื่อให้ครอบครัวของรูซคุงและท่านหญิงมาริเอลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายด้วย
และจากการหมั้นหมายในครั้งนี้
มันก็ทำให้รูซคุงสามารถที่จะใช้ชื่อสกุลของตระกูลเนอราเชีย และยังเปลี่ยนฐานะเป็นขุนนางระดับล่างสุดด้วย
ทำให้พวกขุนนางต่างประเทศนั้นไม่อาจจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆอีก....
「ท่านหญิงอเดลคะ
ทัตสึยะซามะให้มาตามไปยังดาดฟ้าเรือ
ดูเหมือนว่าเรือเหาะของเราเดินทางมาถึงยังใจกลางเมืองกูสตาฟแล้วน่ะค่ะ」
และในตอนที่ชั้นกำลังฟังรูซคุงเล่าเรื่องราวความรักสุดแสนโรแมนติคของเค้าอยู่นั้นเอง
รูริน่าซังเมดส่วนตัวของชั้นก็เข้ามาแจ้งว่า พวกเราได้เดินทางมาถึงยังใจกลางเมืองกูสตาฟแล้ว
เนื่องจากชั้นและกองอัศวินลิลลี่ขาวจากตระกูลเมลริสนั้นได้รับหน้าที่เป็นทัพหน้า
ที่จะต้องติดตามคุ้มกันพี่เขยของชั้น ในการบุกเข้าไปยึดปราสาทกูสตาฟ
ดังนั้นพวกเราจึงต้องรีบไปเตรียมตัวที่ดาดฟ้ากันเป็นกลุ่มแรก
「ถึงแม้นี่จะเป็นสงครามครั้งแรกของพวกเราทั้งคู่
แต่ชั้นก็ไม่คิดจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเมลริสและนักเรียนสาขาเวทมนต์ต้องเสื่อมเสีย
เพราะงั้นรูซคุงเองก็พยายามให้เต็มที่นะ」
「เข้าใจแล้วครับ
ท่านหญิงอเดลเองก็รักษาตัวด้วยนะครับ」
หลังจากแยกกับรูซคุงที่ห้องโถง
ชั้นก็รีบไปที่ลิฟต์เวทมนต์
เพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าของเรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณในทันที และเมื่อชั้นขึ้นไปถึงยังดาดฟ้า
ทุกคนที่ได้รับหน้าที่เป็นทัพหน้าในครั้งนี้ก็ได้มาตั้งแถวเตรียมตัวกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมทั้งหมดแล้ว.....นี่ชั้นมาเป็นคนสุดท้ายแล้วรึเปล่านะ...?
เมื่อชั้นเดินออกไปยังดาดฟ้าและมองไปรอบๆ
หิมะที่ได้มองเห็นผ่านทางหน้าต่างของเรือเหาะก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่าจะหยุดตกลงมาแล้ว
ซึ่งนั่นก็เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้ายึดเมืองกูสตาฟในครั้งนี้มากทีเดียว
「เอ่อ...แล้วนกเกรูโด้ของชั้นล่ะคะ
รูริน่าซัง?」
หลังจากมองไปรอบๆชั้นก็ถามรูริน่าซังออกไป
เนื่องจากพวกอัศวินจากกองอัศวินลิลลี่ขาวของเรานั้นได้ขึ้นไปขี่นกเกรูโด้ของตัวเองกันทั้งหมดแล้ว
และมันก็ดูเหมือนจะไม่มีเหลือเอาไว้ให้กับชั้นเลยแม้แต่ตัวเดียว นี่ชั้นกับรูริน่าซังต้องไปขอซ้อนท้ายพวกอัศวินงั้นเหรอ
?
「เป็นคำสั่งจากทัตสึยะซามะน่ะค่ะ
เพราะงั้นท่านหญิงอเดลก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ...」
กับคำถามของชั้นนั้น รูริน่าซังตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มน่าเจ้าเล่ห์....นี่เจ้าพี่เขยลามกนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่นะ
? แต่ถึงจะคิดอะไรไปแค่ไหนก็คงจะไม่มีประโยชน์
ในเวลานี้ชั้นนั้นไม่ได้เป็นน้องสาวแต่เป็นนายทหารคนหนึ่ง
ดังนั้นชั้นจึงต้องทำตามคำสั่งของพี่เขยซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงของของทัพอย่างเคร่งครัด
「อ๊ะ!! ดูเหมือนว่าชิซึกุซามะจะเริ่มพิธีอัญเชิญราชาแห่งพฤกษาแล้วนะคะ!!」
ในเวลาเดียวกันกับที่ชั้นได้ยินคำพูดของรูริน่าซังนั้น มานาเข้มข้นจำนวนมากมายมหาศาลก็เริ่มที่จะก่อตัวขึ้นรายรอบตัวของชิซึกุซามะและทัตสึยะซามะ จากนั้นชิซึกุซามะก็เริ่มทำการเปลี่ยนมานาเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังเวทที่มีแรงกดดันสุดรุนแรง
พลังเวทสีเขียวที่เปล่งประกายสุกสกาวสดใสจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้จะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ทางเวทมนต์นั้นช่างงดงามจนหาสิ่งใดมาเปรียบได้ยากยิ่งนัก
และพลังเวทที่สร้างแรงกดดันมหาศาลนั้นก็ทำให้บรรยากาศบนดาดฟ้าของเรือเหาะในขณะนี้ก็เริ่มได้แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
พลังเวทมหาศาลของชิซึกุซามะได้ดึงดูดเอาสายตาทุกคู่ของพวกทหารไปยังจุดจุดเดียว
「ข้าขอวิงวอนต่อจิตวิญญาณของราชาแห่งป่าอันแสนบริสุทธิ์
จงมอบพลังมหาศาลเทียบเคียงราชันผู้พิทักษ์ผืนพสุธา」
เมื่อเริ่มกล่าวบทร่าย
บริเวณใต้เท้าของชิซึกุซามะก็ได้ปรากฏวงแหวนเวทมนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 5
เมตรสีเขียวเป็นประกายเรืองรองขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น
ที่พื้นเบื้องล่างของเมืองกูสตาฟในขณะนี้เองก็ได้ปรากฏวงแหวนเวทมนต์ขนาดยักษ์
ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองขึ้นมาเช่นเดียวกัน
「จงหยั่งรากทุกแขนงลงลึกจนสุดพื้นปฐพี
ก่อเกิดและเติบโตเคียงสูงใหญ่คู่ฟ้า ผลอดอกและออกผลสะพรั่งชั่วกาลนาน」
เวทมนต์ที่ชิซึกุซามะกำลังใช้อยู่นั้นก็คือเวทมนต์ระดับเทพธิดา
ที่จะสามารถใช้ได้หลังจากทำการฝึกฝนจนเลเวลของเวทมนต์แห่งป่าอัพไปจนถึงเลเวล A ซึ่งเป็นเลเวลสูงสุดแล้วเท่านั้น
เพราะงั้นนอกจากพระเจ้าและเหล่าเทพธิดาแล้ว
มนุษย์ที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของเวทมนต์แห่งป่าได้นั้น
ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้อาจจะมีเพียงแค่ชิซึกุซามะเพียงคนเดียวก็เป็นได้
「จงช่วยโอบอุ้มและมอบพลังให้แก่จงรักษ์
ด้วยพันธสัญญาแต่บรรพกาล ข้าจักทดแทนด้วยพลังชีวิตอันบริสุทธิ์แก่ท่าน」
ดังนั้นสำหรับชั้นและพวกเราทุกคนที่มาอยู่บนดาดฟ้าแห่งนี้แล้ว
นี่จึงอาจจะเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ที่จะมีโอกาสได้มาเห็นเวทมนต์ระดับเทพธิดา
ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นราวกับปาฏิหาริย์แบบนี้
「Forest Magic: รังสรรค์ราชาพฤกษา
Create Yggdrasil!!!!」
หลังจากที่ชิซึกุซามะกล่าวบทร่ายจบลง
พื้นที่ตัวเมืองกูสตาฟที่อยู่เบื้องล่างก็เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนแม้แต่พวกเราที่อยู่บนเรือเหาะยังสามารถรู้สึกได้
และในตอนนั้นเองที่ราชาแห่งพฤกษาค่อยๆงอกเงยขึ้นมาจากบริเวณกึ่งกลางแม่น้ำเอล
ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านใจกลางเมืองกูสตาฟ
กึ่งก้านสาขาของราชาแห่งพฤกษาค่อยๆเติบโตสูงขึ้น
จนในที่สุดก็สูงเลยความสูงปัจจุบันของเรือเหาะที่พวกอยู่ไปเสียอีก
และมันก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่เรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณที่พวกเรากำลังยืนอยู่ได้เข้าเทียบและจอดลงบนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของราชาแห่งพฤกษา
และในพริบตานั้นเองที่ชั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังมากมายที่เอ่อล้นออกมาจากลำต้นของราชาแห่งพฤกษา
พลังเหล่านั้นเริ่มซึมเข้ามาภายในร่างกายของชั้นอย่างช้าๆ
ซึ่งหากชั้นเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ พลังของราชาแห่งพฤกษาที่เอ่อล้นออกมานี้จะคอยช่วยฟื้นฟูบาดแผลและมานาให้กับพวกเราทุกคน
มันเป็นเวทมนต์ที่อยู่สูงจนชั้นไม่คิดว่าจะสามารถเอื้อมไปถึงได้
มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนการจนชั้นไม่สามารถแม้แต่จะฝันถึง
ภาพของราชาแห่งพฤกษาในวันนี้จะต้องเป็นภาพที่ชั้นและทุกคนที่ได้มาเห็นภาพนี้ต้องจดจำเอาไว้ไม่มีวันลืมไปตลอดทั้งชีวิตอย่างแน่นอน
แต่หากนำพวกเราที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นไปกับเวทมนต์ที่เป็นดั่งปาฏิหาริย์ไปเทียบกับผู้คนที่อยู่ภายในเมืองกูสตาฟแล้ว
ความรู้สึกที่ได้รับนั้นคงจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
เสียงกรีดร้องของผู้คนที่หวาดกลัว
และเสียงกระทบกระทั่งของผู้คนที่กำลังวิ่งพล่านไปด้วยความสันสนวุ่นวายดังก้องไปทั่วทั้งเมืองกูสตาฟ
พวกเค้าเหล่านั้นไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น
และในระหว่างที่ชั้นกำลังมองดูผู้คนเบื้องล่างอยู่นั้นเอง พี่เขยสุดลามกก็ได้เข้ามาที่ด้านหลัง
และอุ้มชั้นขึ้นด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงโดยไม่บอกเตือนกันก่อนล่วงหน้า

「ฟุเคี๊ยะ!! จะ จะทำอะไรงั้นเหรอคะ!!?」
ชั้นถามพี่เขยออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูสับสน
นั่นก็เพราะชั้นไม่เข้าใจการกระทำของพี่เขยเลยจริงๆ
「ผมสัญญากับอาเรียจังพี่สาวของเธอเอาไว้
ผมจะช่วยสนับสนุนและคอยช่วยปกป้องเธออย่างสุดความสามารถ เพราะงั้นคืนนี้เธอต้องมาอยู่ใกล้ๆกับผมตลอดเวลา
เข้าใจนะ อเดลจัง」
ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเป็นห่วงการเข้าร่วมสงครามครั้งแรกของชั้นมากเกินไป....แต่ถึงแม้ชั้นจะรู้สึกเขินอายมากสักแค่ไหน
ตัวชั้นที่เป็นเพียงนักเรียนสาขาเวทมนต์นั้นก็ไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งของพี่เขย
ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอาณาจักรออร์ธรอสในเวลาแบบนี้ได้
และยิ่งสำหรับในอนาคตแล้ว กับตัวชั้นที่ถูกทุกคนในตระกูลเมลริสตัดสินใจให้แต่งงานกับพี่เขยนั้น
ถึงแม้จะอยากมีความรักกับผู้ชายคนอื่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เพราะงั้นชั้นเองก็ควรจะเตรียมใจ แล้วมอบความบริสุทธิ์และร่างกายนี้ให้เป็นพี่เขยอย่างจริงจังได้แล้วงั้นสินะ......
ไม่สิ!! ไอ้เรื่องนั้นมันจะเป็นยังไงก็ช่าง!!! ตอนนี้ชั้นจะต้องคิดถึงเรื่องสงครามที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน
ใช่แล้วล่ะ!! การกระทำของพี่เขยแบบนี้เองก็คงจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นในการทำสงคราม....
เพราะถึงแม้พี่เขยของชั้นจะเป็นจอมลามก
แต่พี่เขยก็คงไม่ได้จะมาคิดเรื่องไร้สาระที่จะส่งผลต่อการทำสงครามในเวลาแบบนี้แน่ๆ
และเมื่อชั้นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้แล้ว ชั้นจึงเลิกคิดเรื่องเล็กน้อย รวบรวมสมาธิและตั้งใจคิดถึงแต่เรื่องของการทำสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้
「Dark Summon: Terrornion!!」
เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว พี่เขยก็ได้ใช้เวทอัญเชิญเพื่อเรียกม้าเพลิงความมืดออกมา
แล้วพี่เขยก็กระโดดขึ้นไปขี่มันพร้อมกับตัวชั้นที่ยังอยู่ในอ้อมกอด รูริน่าซังเองก็ปีนตามพวกเราขึ้นมาซ้อนท้ายด้วย
「ไปไล่เตะก้นไอ้พวกขุนนางงี่เง่านั้นให้รู้สำนึกกันเลยทุกคน!!」
「「「「โอ้!!」」」」
สิ้นเสียงกู่ร้อง
พวกเราซึ่งเป็นทัพหน้าทั้งหมดก็กระโดดขึ้นบินไปจากดาดฟ้าของเรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณ
พวกเราทุกคนมุ่งหน้าไปยังปราสาทกูสตาฟด้วยกำลังทหารเพียงแค่ไม่ถึง 500 นาย แต่ถึงแม้พวกเราจะมีกำลังน้อยกว่าศัตรูมาก
ทุกๆคนกลับไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น