ตอนที่ 37 ราชาแห่งพฤกษา



 -- มุมมองของอเดล --                            


ทำไมรูซคุงถึงได้เข้าไปอยู่กับตระกูลเนอราเชียงั้นเหรอคะ?

ในระหว่างการเดินทางไปยังเมืองกูสตาฟ ชั้นและกองทหารอาสาจากหลายอาณาเขตได้มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ และเนื่องจากพวกเรายังพอมีเวลาอยู่ ชั้นจึงได้ถามคำถามที่รู้สึกสงสัยมาตลอดกับรูซคุง หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นที่ได้มาเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย

อเดลจัง...ไม่สิ...ท่านหญิงอเดล สำหรับท่านหญิงอเดลที่เป็นขุนนางระดับสูงแล้ว มีความคิดอย่างไรกับผมและพวกเพื่อนๆคนอื่นที่เป็นเพียงสามัญชน แต่กลับได้เข้าไปเรียนในสาขาจอมเวทงั้นเหรอครับ?

แต่กลับคำถามของชั้นนั้น รูซคุงกลับตอบกลับมาด้วยคำถามเสียเอง....ตัวชั้นคิดอย่างไรกับพวกสามัญชนงั้นเหรอ ?

สำหรับตัวชั้นที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลอัศวินนั้น ชั้นแทบไม่ได้สนใจฐานะของเพื่อนๆเลย ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือเป็นราชวงศ์ ชั้นก็คิดว่าทุกคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดี ชั้นจึงให้ความสำคัญกับทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน....และพอชั้นตอบกลับไปแบบนั้น รูซคุงก็แสดงรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นว่าดีใจออกมา

แต่สำหรับบุคคลคนอื่นๆแล้ว ในสายตาของพวกเค้าไม่ได้มองพวกเราอย่างเท่าเทียมกันหรอกนะครับ....

จากนั้น รูซคุงก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆในช่วงที่ผ่านมาให้กับชั้นฟัง ซึ่งเรื่องราวมันก็เริ่มต้นขึ้นจากการที่เค้าพยายามฝึกฝนเวทมนต์อย่างหนักหน่วง และหลังจากเข้ารับการทดสอบต่อเนื่องถึง 39 ครั้ง ในที่สุดรูซคุงก็สามารถสอบผ่าน และเข้ามาเป็นนักเรียนสาขาเวทมนต์จนได้

แต่สำหรับรูซคุงที่เป็นสามัญชนแล้ว การได้เข้ามาอยู่ในสาขาเวทมนต์นั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะความอิจฉาจากบรรดาลูกขุนนางมากมายจากหลากหลายประเทศ และยังมีความโลภที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากรูซคุงที่จะมีโอกาสจะได้กลายเป็นถึงจอมเวท

ผู้คนเหล่านั้นต่างพากันเข้ามาตามรังควานรูซคุงแทบจะตลอดเวลา บ้างก็นินทาว่าร้าย บ้างก็มายื่นข้อเสนอต่างๆ ซึ่งการจะปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่เป็นสามัญชน โดยสำหรับเรื่องนี้เองตัวชั้นนั้นเข้าใจดี เพราะชั้นเองก็มีจดหมายเชิญไปงานเลี้ยงตัวดูอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยที่ชั้นมีพี่สาวและพี่เขยคอนสนับสนุนอยู่ ดังนั้นการปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ใช่เรื่องนัก

และในวันหนึ่งที่รูซคุงกำลังลำบากกับการหาทางปฏิเสธผู้คนมากมายที่พยายามเข้ามาติดต่อซื้อตัวอยู่นั้นเอง เด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอที่ไม่อาจจะทนนิ่งเฉยได้เข้ามาห้ามปรามและต่อว่าขุนนางจากต่างประเทศ และนั่นก็ทำให้เธอเกือบที่จะขุนนางพวกนั้นทำร้าย ซึ่งในตอนนั้นเองที่เธอได้รูซคุงช่วยปกป้องเอาไว้...

ไม่รู้ทำไม....ชั้นรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักจะกลายเป็นเรื่องราวความรักโรแมนติคขึ้นมาซะแล้ว เรื่องแบบนี้มันเหมือนกับพวกนิยายรักของยูเมะซามะ ที่กำลังโด่งดังอยู่ในเมืองสเตรเชียช่วงนี้เลยล่ะค่ะ....

ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเธอคนนั้น......ท่านหญิงมาริเอลจะเป็นขุนนางจากตระกูลเนอราเชีย....

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ทั้งสองคนก็เริ่มคบหาเป็นเพื่อนกัน และในวันหนึ่งรูซคุงก็ได้ถูกท่านหญิงมาริเอลสารภาพรัก...นี่ถึงขนาดปล่อยให้ฝ่ายหญิงเป็นคนเริ่มก่อนเลยเหรอเนี่ย ไม่สิ บางทีการที่ชั้นเอาผู้ชายคนอื่นๆไปเทียบกับเจ้าพี่เขยสุดเจ้าชู้นั้นคงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักล่ะมั้ง.....

ทางตระกูลเนอราเชีย บอกว่าจะเป็นคอยผู้สนับสนุนให้กับผม และทางนั้นเองไม่ได้เรียกร้องเรื่องอื่นๆเลยนอกจากความสุขของท่านหญิงมาริเอล และท่านไวส์เคานท์หญิงโนเอลก็ยังมอบบ้านหลังใหญ่ที่เมืองเนอราเชียให้กับครอบครัวของผมที่อาศัยอยู่ในห้องเช่าราคาถูกของเมืองสเตรเชียด้วย....

นอกจากจะยกลูกพี่ลูกน้องแสนสวยให้แล้ว ท่านไวส์เคานท์หญิงโนเอลก็ยังมอบบ้านและที่ดินเพื่อให้ครอบครัวของรูซคุงและท่านหญิงมาริเอลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายด้วย และจากการหมั้นหมายในครั้งนี้ มันก็ทำให้รูซคุงสามารถที่จะใช้ชื่อสกุลของตระกูลเนอราเชีย และยังเปลี่ยนฐานะเป็นขุนนางระดับล่างสุดด้วย ทำให้พวกขุนนางต่างประเทศนั้นไม่อาจจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆอีก....

ท่านหญิงอเดลคะ ทัตสึยะซามะให้มาตามไปยังดาดฟ้าเรือ ดูเหมือนว่าเรือเหาะของเราเดินทางมาถึงยังใจกลางเมืองกูสตาฟแล้วน่ะค่ะ

และในตอนที่ชั้นกำลังฟังรูซคุงเล่าเรื่องราวความรักสุดแสนโรแมนติคของเค้าอยู่นั้นเอง รูริน่าซังเมดส่วนตัวของชั้นก็เข้ามาแจ้งว่า พวกเราได้เดินทางมาถึงยังใจกลางเมืองกูสตาฟแล้ว

เนื่องจากชั้นและกองอัศวินลิลลี่ขาวจากตระกูลเมลริสนั้นได้รับหน้าที่เป็นทัพหน้า ที่จะต้องติดตามคุ้มกันพี่เขยของชั้น ในการบุกเข้าไปยึดปราสาทกูสตาฟ ดังนั้นพวกเราจึงต้องรีบไปเตรียมตัวที่ดาดฟ้ากันเป็นกลุ่มแรก

ถึงแม้นี่จะเป็นสงครามครั้งแรกของพวกเราทั้งคู่ แต่ชั้นก็ไม่คิดจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเมลริสและนักเรียนสาขาเวทมนต์ต้องเสื่อมเสีย เพราะงั้นรูซคุงเองก็พยายามให้เต็มที่นะ

เข้าใจแล้วครับ ท่านหญิงอเดลเองก็รักษาตัวด้วยนะครับ

หลังจากแยกกับรูซคุงที่ห้องโถง ชั้นก็รีบไปที่ลิฟต์เวทมนต์ เพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้าของเรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณในทันที และเมื่อชั้นขึ้นไปถึงยังดาดฟ้า ทุกคนที่ได้รับหน้าที่เป็นทัพหน้าในครั้งนี้ก็ได้มาตั้งแถวเตรียมตัวกันอย่างเป็นระเบียบพร้อมทั้งหมดแล้ว.....นี่ชั้นมาเป็นคนสุดท้ายแล้วรึเปล่านะ...?

เมื่อชั้นเดินออกไปยังดาดฟ้าและมองไปรอบๆ หิมะที่ได้มองเห็นผ่านทางหน้าต่างของเรือเหาะก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนว่าจะหยุดตกลงมาแล้ว ซึ่งนั่นก็เรียกได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้ายึดเมืองกูสตาฟในครั้งนี้มากทีเดียว

เอ่อ...แล้วนกเกรูโด้ของชั้นล่ะคะ รูริน่าซัง?

หลังจากมองไปรอบๆชั้นก็ถามรูริน่าซังออกไป เนื่องจากพวกอัศวินจากกองอัศวินลิลลี่ขาวของเรานั้นได้ขึ้นไปขี่นกเกรูโด้ของตัวเองกันทั้งหมดแล้ว และมันก็ดูเหมือนจะไม่มีเหลือเอาไว้ให้กับชั้นเลยแม้แต่ตัวเดียว นี่ชั้นกับรูริน่าซังต้องไปขอซ้อนท้ายพวกอัศวินงั้นเหรอ ?

เป็นคำสั่งจากทัตสึยะซามะน่ะค่ะ เพราะงั้นท่านหญิงอเดลก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ...

กับคำถามของชั้นนั้น รูริน่าซังตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มน่าเจ้าเล่ห์....นี่เจ้าพี่เขยลามกนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่นะ ? แต่ถึงจะคิดอะไรไปแค่ไหนก็คงจะไม่มีประโยชน์ ในเวลานี้ชั้นนั้นไม่ได้เป็นน้องสาวแต่เป็นนายทหารคนหนึ่ง ดังนั้นชั้นจึงต้องทำตามคำสั่งของพี่เขยซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงของของทัพอย่างเคร่งครัด

อ๊ะ!! ดูเหมือนว่าชิซึกุซามะจะเริ่มพิธีอัญเชิญราชาแห่งพฤกษาแล้วนะคะ!!

ในเวลาเดียวกันกับที่ชั้นได้ยินคำพูดของรูริน่าซังนั้น มานาเข้มข้นจำนวนมากมายมหาศาลก็เริ่มที่จะก่อตัวขึ้นรายรอบตัวของชิซึกุซามะและทัตสึยะซามะ จากนั้นชิซึกุซามะก็เริ่มทำการเปลี่ยนมานาเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังเวทที่มีแรงกดดันสุดรุนแรง

พลังเวทสีเขียวที่เปล่งประกายสุกสกาวสดใสจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้จะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ทางเวทมนต์นั้นช่างงดงามจนหาสิ่งใดมาเปรียบได้ยากยิ่งนัก และพลังเวทที่สร้างแรงกดดันมหาศาลนั้นก็ทำให้บรรยากาศบนดาดฟ้าของเรือเหาะในขณะนี้ก็เริ่มได้แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พลังเวทมหาศาลของชิซึกุซามะได้ดึงดูดเอาสายตาทุกคู่ของพวกทหารไปยังจุดจุดเดียว

ข้าขอวิงวอนต่อจิตวิญญาณของราชาแห่งป่าอันแสนบริสุทธิ์ จงมอบพลังมหาศาลเทียบเคียงราชันผู้พิทักษ์ผืนพสุธา

เมื่อเริ่มกล่าวบทร่าย บริเวณใต้เท้าของชิซึกุซามะก็ได้ปรากฏวงแหวนเวทมนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 เมตรสีเขียวเป็นประกายเรืองรองขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น ที่พื้นเบื้องล่างของเมืองกูสตาฟในขณะนี้เองก็ได้ปรากฏวงแหวนเวทมนต์ขนาดยักษ์ ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองขึ้นมาเช่นเดียวกัน

จงหยั่งรากทุกแขนงลงลึกจนสุดพื้นปฐพี ก่อเกิดและเติบโตเคียงสูงใหญ่คู่ฟ้า ผลอดอกและออกผลสะพรั่งชั่วกาลนาน

เวทมนต์ที่ชิซึกุซามะกำลังใช้อยู่นั้นก็คือเวทมนต์ระดับเทพธิดา ที่จะสามารถใช้ได้หลังจากทำการฝึกฝนจนเลเวลของเวทมนต์แห่งป่าอัพไปจนถึงเลเวล A ซึ่งเป็นเลเวลสูงสุดแล้วเท่านั้น

เพราะงั้นนอกจากพระเจ้าและเหล่าเทพธิดาแล้ว มนุษย์ที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของเวทมนต์แห่งป่าได้นั้น ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้อาจจะมีเพียงแค่ชิซึกุซามะเพียงคนเดียวก็เป็นได้

จงช่วยโอบอุ้มและมอบพลังให้แก่จงรักษ์ ด้วยพันธสัญญาแต่บรรพกาล ข้าจักทดแทนด้วยพลังชีวิตอันบริสุทธิ์แก่ท่าน

ดังนั้นสำหรับชั้นและพวกเราทุกคนที่มาอยู่บนดาดฟ้าแห่งนี้แล้ว นี่จึงอาจจะเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ที่จะมีโอกาสได้มาเห็นเวทมนต์ระดับเทพธิดา ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นราวกับปาฏิหาริย์แบบนี้

Forest Magic: รังสรรค์ราชาพฤกษา Create Yggdrasil!!!!

หลังจากที่ชิซึกุซามะกล่าวบทร่ายจบลง พื้นที่ตัวเมืองกูสตาฟที่อยู่เบื้องล่างก็เกิดแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจนแม้แต่พวกเราที่อยู่บนเรือเหาะยังสามารถรู้สึกได้ และในตอนนั้นเองที่ราชาแห่งพฤกษาค่อยๆงอกเงยขึ้นมาจากบริเวณกึ่งกลางแม่น้ำเอล ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านใจกลางเมืองกูสตาฟ

กึ่งก้านสาขาของราชาแห่งพฤกษาค่อยๆเติบโตสูงขึ้น จนในที่สุดก็สูงเลยความสูงปัจจุบันของเรือเหาะที่พวกอยู่ไปเสียอีก และมันก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่เรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณที่พวกเรากำลังยืนอยู่ได้เข้าเทียบและจอดลงบนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของราชาแห่งพฤกษา

และในพริบตานั้นเองที่ชั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังมากมายที่เอ่อล้นออกมาจากลำต้นของราชาแห่งพฤกษา พลังเหล่านั้นเริ่มซึมเข้ามาภายในร่างกายของชั้นอย่างช้าๆ ซึ่งหากชั้นเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ พลังของราชาแห่งพฤกษาที่เอ่อล้นออกมานี้จะคอยช่วยฟื้นฟูบาดแผลและมานาให้กับพวกเราทุกคน

มันเป็นเวทมนต์ที่อยู่สูงจนชั้นไม่คิดว่าจะสามารถเอื้อมไปถึงได้ มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนการจนชั้นไม่สามารถแม้แต่จะฝันถึง ภาพของราชาแห่งพฤกษาในวันนี้จะต้องเป็นภาพที่ชั้นและทุกคนที่ได้มาเห็นภาพนี้ต้องจดจำเอาไว้ไม่มีวันลืมไปตลอดทั้งชีวิตอย่างแน่นอน

แต่หากนำพวกเราที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นไปกับเวทมนต์ที่เป็นดั่งปาฏิหาริย์ไปเทียบกับผู้คนที่อยู่ภายในเมืองกูสตาฟแล้ว ความรู้สึกที่ได้รับนั้นคงจะเรียกได้ว่าแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง

เสียงกรีดร้องของผู้คนที่หวาดกลัว และเสียงกระทบกระทั่งของผู้คนที่กำลังวิ่งพล่านไปด้วยความสันสนวุ่นวายดังก้องไปทั่วทั้งเมืองกูสตาฟ พวกเค้าเหล่านั้นไม่อาจจะรับรู้ได้เลยว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น และในระหว่างที่ชั้นกำลังมองดูผู้คนเบื้องล่างอยู่นั้นเอง พี่เขยสุดลามกก็ได้เข้ามาที่ด้านหลัง และอุ้มชั้นขึ้นด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงโดยไม่บอกเตือนกันก่อนล่วงหน้า


ฟุเคี๊ยะ!! จะ จะทำอะไรงั้นเหรอคะ!!?

ชั้นถามพี่เขยออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ฟังดูสับสน นั่นก็เพราะชั้นไม่เข้าใจการกระทำของพี่เขยเลยจริงๆ

ผมสัญญากับอาเรียจังพี่สาวของเธอเอาไว้ ผมจะช่วยสนับสนุนและคอยช่วยปกป้องเธออย่างสุดความสามารถ เพราะงั้นคืนนี้เธอต้องมาอยู่ใกล้ๆกับผมตลอดเวลา เข้าใจนะ อเดลจัง

ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเป็นห่วงการเข้าร่วมสงครามครั้งแรกของชั้นมากเกินไป....แต่ถึงแม้ชั้นจะรู้สึกเขินอายมากสักแค่ไหน ตัวชั้นที่เป็นเพียงนักเรียนสาขาเวทมนต์นั้นก็ไม่สามารถที่จะขัดคำสั่งของพี่เขย ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพอาณาจักรออร์ธรอสในเวลาแบบนี้ได้

และยิ่งสำหรับในอนาคตแล้ว กับตัวชั้นที่ถูกทุกคนในตระกูลเมลริสตัดสินใจให้แต่งงานกับพี่เขยนั้น ถึงแม้จะอยากมีความรักกับผู้ชายคนอื่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะงั้นชั้นเองก็ควรจะเตรียมใจ แล้วมอบความบริสุทธิ์และร่างกายนี้ให้เป็นพี่เขยอย่างจริงจังได้แล้วงั้นสินะ......

ไม่สิ!! ไอ้เรื่องนั้นมันจะเป็นยังไงก็ช่าง!!! ตอนนี้ชั้นจะต้องคิดถึงเรื่องสงครามที่อยู่ตรงหน้าเสียก่อน ใช่แล้วล่ะ!! การกระทำของพี่เขยแบบนี้เองก็คงจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นในการทำสงคราม....

เพราะถึงแม้พี่เขยของชั้นจะเป็นจอมลามก แต่พี่เขยก็คงไม่ได้จะมาคิดเรื่องไร้สาระที่จะส่งผลต่อการทำสงครามในเวลาแบบนี้แน่ๆ และเมื่อชั้นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ได้แล้ว ชั้นจึงเลิกคิดเรื่องเล็กน้อย รวบรวมสมาธิและตั้งใจคิดถึงแต่เรื่องของการทำสงครามที่กำลังจะมาถึงนี้

Dark Summon: Terrornion!!

เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว พี่เขยก็ได้ใช้เวทอัญเชิญเพื่อเรียกม้าเพลิงความมืดออกมา แล้วพี่เขยก็กระโดดขึ้นไปขี่มันพร้อมกับตัวชั้นที่ยังอยู่ในอ้อมกอด รูริน่าซังเองก็ปีนตามพวกเราขึ้นมาซ้อนท้ายด้วย

ไปไล่เตะก้นไอ้พวกขุนนางงี่เง่านั้นให้รู้สำนึกกันเลยทุกคน!!
「「「「โอ้!!」」」」

สิ้นเสียงกู่ร้อง พวกเราซึ่งเป็นทัพหน้าทั้งหมดก็กระโดดขึ้นบินไปจากดาดฟ้าของเรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณ พวกเราทุกคนมุ่งหน้าไปยังปราสาทกูสตาฟด้วยกำลังทหารเพียงแค่ไม่ถึง 500 นาย แต่ถึงแม้พวกเราจะมีกำลังน้อยกว่าศัตรูมาก ทุกๆคนกลับไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น