10 วันหลังจากการประกาศก่อตั้งอาณาจักรออร์คริสตี้
วันที่ 15
เดือน 1 ศักราชเอลติซปีที่ 838
-- มุมมองของคริสติน่า --
ภายในช่วง 10 วันที่ผ่านมานี้ การเข้าสู้รบปะทะกันระหว่างกองทัพพันธมิตรของอาณาจักรออร์ธรอสกับจักรวรรดิเอลติซนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่ไม่ว่าการต่อสู้จะรุนแรงแค่ไหน ทุกครั้งฝ่ายพันธมิตรของอาณาจักรออร์ธรอสก็สามารถที่จะนำชัยชนะกลับมาได้เหมือนกันทุกครั้ง
แต่ถ้าหากจะพูดถึงการสู้รบที่น่าสนใจที่สุดล่ะก็ ยังไงก็คงไม่พ้นสงครามระหว่างกองทัพเรือของทั้งสองฝ่ายที่ได้เกิดขึ้นบริเวณน่านน้ำของเมืองมาลอฟตะวันตก
โดยในตอนเริ่มต้นนั้น ทั้งตัวชั้นเองรวมถึงพวกชาวเมืองมาลอฟทั้งหลายนั้นต่างคิดว่ากองทัพเรือของจักรวรรดิเอลติซที่นำโดยเหล่าผู้กล้าซึ่งมีเรือรบเหล็กกล้าขนาดใหญ่จำนวน
20 และเรือรบความเร็วสูงจำนวน 150 ลำนั้นคงจะต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
ซึ่งการที่ตัวชั้นและผู้คนต่างก็มีความคิดแบบนั้นก็เป็นเพราะ
ไม่ว่าพวกท่านจอมเวทจะมีเวทมนต์หรืออาวุธเวทที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่การรบสู้ในทะเลที่มีตัวแปรมากมายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถนำของเหล่านั้นออกมาใช้งานกันได้ง่ายๆ
นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ทางฝ่ายจักรวรรดิก็ยังได้มีการนำตัวเหล่าทาสจากเผ่าพันธุ์ต่างๆรวมถึงพวกเด็กๆจำนวนมากมายมาใช้เป็นตัวประกันเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกท่านจอมเวทใช้เวทมนต์วงกว้างที่รุนแรงได้อีก
ดังนั้นหากได้ลองไตร่ตรองดูแล้วล่ะก็
ไม่ว่าใครก็คงจะคิดว่าฝ่ายจักรวรรดิติซที่มีทั้งความชำนาญการรบทางทะเลรวมถึงยังมีกำลังรบที่มากกว่าเกือบ
20 เท่านั้นควรจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
แต่หลังจากที่การสู้รบเริ่มต้นขึ้นเพียงแค่ไม่นานเท่านั้น
ความคิดของตัวชั้นรวมถึงพวกชาวเมืองมาลอฟตะวันตกทุกคนต่างก็เปลี่ยนไปในทันที โดยสำหรับเรื่องนี้แล้วชั้นน่ะสามารถบอกได้เลยว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่ะ มันก็คือการทำลายทั้งสามัญสำนึกและประวัติศาสตร์การสู้รบทางน้ำลงไปอย่างไม่เหลือซาก
แล้วมันเกิดได้เรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ ? นั่นน่ะ มันก็คือการที่เรือรบขนาดใหญ่ทั้งสิบลำของอาณาจักรออร์ธรอสนั้นได้ทำการตำดิ่งลงไปยังใต้ทะเลในทันทีที่ได้ต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น
แล้วมันก็ไม่ใช่เพียงแค่ดำลงไปซ่อนใต้ทะเลเพียงเท่านั้นหรอกนะคะ
เพราะเรือรบของอาณาจักรออร์ธรอสนั้นยังสามารถทำการโจมตีด้วยอาวุธเวทที่มีชื่อว่าตอปิโดขึ้นมาจากใต้ทะเลลึกได้อย่างแม่นยำและรุนแรงอีกด้วย
ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุนั้นเอง กองเรือรบกว่า 200
ลำของจักรวรรดิเอลติซรวมถึงพวกผู้กล้าทั้งหมดจึงได้ถูกทำลายล้างลงไปโดยที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ตอบโต้เลยแม้แต่นิดเดียว....
แล้วทำอย่างไรกับพวกทาสและพวกเด็กๆที่ถูกนำมาเป็นตัวประกันนั้น
สำหรับเรื่องนั้นน่ะ พวกเผ่าเงือก เผ่ามังกรทะเล และพวกท่านจอมเวทที่ชำนาญการต่อสูใต้ทะเลนั้นได้ทำการบุกเข้าไปช่วยเหลือพวกเค้าออกมาก่อนหน้าที่เรือพวกนั้นจะถูกจมลงไปแล้วล่ะค่ะ
โดยการสู้รบในครั้งนี้น่ะ ฝ่ายกองทัพของเราสามารถนำชัยชนะกลับมาได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่มีการสูญเสียเหล่านายทหารหรือพวกตัวประกันไปเลยแม้แต่คนเดียว
มันเป็นการสู้รบที่สมควรจะถูกเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยนะคะ
「คริสติน่าซามะ
ได้เวลาเข้าร่วมประชุมแล้วนะคะ」
「อะร๊า ถึงเวลาแล้วงั้นเหรอ
เวลาผ่านไปรวดเร็วแบบไม่รู้ตัวเลยนะคะ」
เมื่อชั้นหันไปดูนาฬิกาเวทมนต์ที่ติดอยู่บนผนังห้อง
ในตอนนี้ก็เป็นเวลา 9 โมง 45 นาทีแล้ว เพราะชั้นกำลังสนุกสนานอยู่กับการตรวจดูเอกสารรายงานคำร้องจากชาวเมืองที่พึ่งจะอพยพเข้ามาภายในเมืองหลวงแห่งใหม่
สุดท้ายก็เลยทำให้ลืมเวลาไปเลย
「ทั้งที่ตอนแรกทำท่าทางลำบากใจถึงขนาดนั้น
คริสติน่าซามะเนี่ยเป็นพวกปรับตัวได้ง่ายจริงๆเลยนะคะ」
เบลตี้พูดออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
และถึงแม้เรื่องที่เธอพูดมันจะเป็นเรื่องจริง แต่มันอะไรกันล่ะนั่น
ไอ้ท่าทางเสียมารยาทที่ดูไม่สมกับเป็นเมดแบบนั้นน่ะ
「ก็มันช่วยไม่ได้นี่คะ
ทำแบบนี้มันส่งผลดีกับผู้คนของเรามากที่สุดแล้วนี่!!」
「ค่ะ ค่ะ เข้าใจแล้วล่ะค่ะ รีบไปที่ห้องประชุมกันดีกว่านะคะ」
กับคำพูดของชั้นนั้น
เบลตี้ตอบกลับมาราวกับเป็นเรื่องที่เธอไม่ต้องการจะฟังอีกแล้ว
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยเป็นแบบนี้เลยแท้ๆ
ทำไมช่วงหลังมานี้เธอถึงได้กลายเป็นเมดที่ดูไม่ค่อยจะเคารพเจ้านายแบบนี้ได้กันล่ะเนี่ย...
「คริสตี้ซามะอรุณสวัสดิ์ค่า!!」「คริสติน่าซาม๊า!!」「คริสตี้ซามะ วันนี้สวยมากเลยนะคะ!!」「อย่าเข้าไปรบกวนเวลาคริสติน่าซามะกำลังทำงานสิคะ!!」
ระหว่างการเดินทางจากห้องทำงานไปยังห้องประชุม
ชั้นก็ได้พบกับพวกเด็กๆหลายคนที่ชั้นได้เคยเข้าไปช่วยเหลือเอาไว้จากการถูกพวกขุนนางของจักรวรรดิเอลติซข่มเหงทำร้าย
และถึงแม้ในช่วงแรกทุกคนจะมีสภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก
แต่ในตอนนี้ก็ดูร่าเริงกันดีทุกคนแล้วล่ะค่ะ
「อาร๊า
กำลังออกสำรวจปราสาทกันอยู่งั้นเหรอคะ ? ทุกคนขยันศึกษาข้อมูลกันมากเลยนะคะ」
ชั้นพูดพร้อมกับเข้าไปลูบหัวพวกเด็กๆเพื่อทักทายทีละคน
เนื่องจากปราสาทแห่งนี้ได้เปิดให้พวกเด็กๆในเมืองสามารถเข้ามาเที่ยวชมได้เช่นเดียวกันกับปราสาทของอาณาจักรออร์ธรอสได้แบบฟรีๆ
ดังนั้นในเวลากลางวันแบบนี้จึงมีพวกเด็กๆจำนวนมากที่ได้เข้ามาเที่ยวเล่นไปพร้อมกับการศึกษาเรียนรู้และหาข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทกัน
「เป็นเมืองที่ดีจริงๆเลยนะคะ ความเป็นอยู่ก็สะดวกสบาย
ความสะอาดเองก็ไร้ที่ติ ตัวเมืองก็ดูงดงามเป็นระเบียบราวกับเป็นผลงานศิลป์
นี่ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองล่ะก็
ไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะค่ะว่าจะพวกท่านจอมเวทจะสามารถสร้างเมืองแบบนี้ขึ้นมาได้ในเวลาเพียงแค่
7 วันเท่านั้น」
เบลตี้พูดพร้อมกับมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไป
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เธอพูด
เพราะเมืองหลวงแห่งนี้ได้ถูกพวกท่านจอมเวทที่ถนัดเวทมนต์วิศวกรรมสร้างขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึง
7 วัน
และถึงแม้ว่าจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่เนื่องจากพวกเราได้มาอยู่ดูพวกท่านจอมเวทสร้างเมืองแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น
ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจจะปฏิเสธกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไปได้
และเนื่องจากเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาติดกับทะเลสาบเมอร์ลูเน่
ตัวเมืองหลวงของอาณาจักรออร์คริสตี้แห่งนี้จึงได้ถูกตั้งชื่อว่าเมืองทะเลสาบเมอร์ลูเน่
แล้วก็เพราะทัตสึยะซามะต้องการให้เน้นเรื่องความงดงามเป็นหลัก
ทุกๆส่วนภายในเมืองแห่งนี้จึงได้ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ขึ้นมาราวกับผลงานศิลป์
ดังนั้นความงดงามของเมืองนี้จึงสมเหมาะที่จะถูกเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งในโลกก็ว่าได้
「!!!!!!!」
「ฟุเนี๊ยะ!!!」
เมื่อชั้นเข้าไปยังห้องประชุม
สิ่งแรกที่เจอก็คือการถูกปิดตาจากเด็กสาวสุดแสนร่าเริงคนหนึ่ง
และถึงแม้การจู่โจมของเธอในครั้งนี้จะทำให้ชั้นรู้สึกตกใจนิดหน่อย
แต่เนื่องจากในช่วงหลังมานี้ชั้นได้ถูกเธอเข้ามาจู่โจมอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นชั้นจึงพอจะคงสภาพการเป็นราชินีที่สง่างามเอาไว้ได้
「ชิซึกุซามะเนี่ย
ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ยังชอบเข้ามาปิดตาชั้นจากด้านหลังจริงๆเลยนะคะ 」
「อุว๊า!!!! รู้ด้วยเหรอคะว่าเป็นชั้น
นึกว่าครั้งนี้จะทำให้คริสติน่าซังประหลาดใจได้จริงๆแล้วนะคะเนี่ย」
เมื่อชั้นสามารถบอกได้ว่าเธอเป็นใคร
ชิซึกุซามะก็รีบปล่อยมือออกจากตาและเข้ามาควงแขนชั้นด้วยความสนิทสนมแทน
และถึงแม้มันจะดูไม่สุภาพนักในสภานที่แบบนี้
แต่การที่ได้น้องสามีอย่างชิซึกุซามะเช้ามาสนิทด้วยนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชั้นรู้สึกดีใจมากเลยล่ะค่ะ
「อะร๊า สนิทกันมากเลยนะคะเนี่ย น่าอิจฉาจังเลยค่ะ」
เด็กสาวแสนสวยเจ้าของเรือนผมสีชมพูในชุดเดรสสุดหรูหรา
หันมามองพวกเราและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ซึ่งเด็กสาวคนนี้ก็คือองค์ราชินียูฟีเนสแห่งอาณาจักรออร์ฟีน่า
หนึ่งในตัวแทนของอาณาจักรพันธมิตรที่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้
「เป็นเจ้าหญิงรักของทัตสึยะซามะ แล้วก็ยังเป็นที่ถูกใจของชิซึกุซามะด้วยเนี่ย
ช่างน่าอิจฉามากจริงๆนั่นล่ะค่ะ」
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำผึ้งในชุดอัศวินสีแดงสดใส
เฮเลน่าซามะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางซุกซน
และถึงแม้ว่าเธอจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
แต่ในแววตาของเธอที่มองมายังชั้นและชิซึกุซามะนั้นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความริษยาอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
โดยเฮเลน่าซามะนั้นได้เข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนของอาณาจักรซิสเทีย
และถึงแม้ในครั้งนี้อาณาจักรซิสเทียจะไม่ได้สร้างผลงานอะไรที่โดดเด่น
แต่กองอัศวินสการ์เล็ตจำนวน 100
นายที่เฮเลน่าซามะได้พามาเข้าร่วมกับพวกนั้นก็ได้เข้าไปช่วยเหลือและปกป้องชีวิตชาวเมืองผู้บริสุทธิ์
จากบรรดาผู้คนที่คิดจะฉวยโอกาสหากำไรจากสงครามที่เกิดขึ้นเอาไว้ได้ไม่น้อย
หลังจากการทักทายแบบสนิทสนมจากชิซึกุซามะ
ยูฟีเนสซามะ และเฮเลน่าซามะได้จบลง บรรดาตัวแทนจากอาณาจักรพันมิตรและเผ่าพันธุ์ต่างๆที่อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรออร์ธรอสก็ได้เข้ามากล่าวทักทายชั้นด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ตัวแทนทุกคนที่มาเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ดูเป็นมิตรไม่แตกต่างไปจากทั้งสามคนก่อนหน้านี้เลย
ทั้งๆที่การประชุมในวันนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการแบ่งอาณาเขตของจักรวรรดิเอลติซที่กองทัพพันมิตรของพวกเราได้รับมาจากการทำสงคราม
ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องราวการเจรจาทางการทูตที่ตึงเครียด
เพราะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ในอนาคตของทุกประเทศแท้ๆ
แต่ทั้งๆแบบนั้นพวกตัวแทนจากแต่ละประเทศก็ยังคงทำตัวสบายๆและหันไปพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ราวกับว่าผลลัพธ์ของการประชุมในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญอะไรแบบนั้นเลยล่ะค่ะ
「ในเมื่อทุกท่านมากันพร้อมแล้ว
ถ้างั้นพวกเราก็มาเริ่มการประชุมกันเลยดีกว่านะคะ ท่านมาควิสโรเดริก ท่านเคานต์เลนิส
ขอเชิญทั้งสองท่านออกมาอธิบายถึงเหตุผลในการร้องขออาณาเขตพื้นที่ต่างๆ
ตามที่ได้ระบุลงในเอกสารการประชุมครั้งนี้ได้เลยค่ะ」
เมื่อชั้นพูดจบ
มาควิสโรเดริกและเคานต์เลนิส
สองขุนนางระดับสูงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นรากฐานสำคัญในการก่อตั้งอาณาจักรออร์คริสตี้ก็โค้งคำนับให้กับชั้นและคนอื่นๆ
จากนั้นทั้งสองท่านจึงเดินไปยังอุปกรณ์เวทจอภาพขนาดใหญ่และเริ่มอธิบาย
โดยหากพูดถึงอาณาเขตพื้นที่หลักที่อาณาจักรออร์คริสตี้ของเราต้องการนั้น
ทั้งหมด 7 ใน 10 ส่วนจะเป็นพื้นที่สำหรับทำการเพาะปลูก อีก 2 ส่วนจะเป็นพื้นหุบเขาซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวงแห่งนี้
และส่วนสุดท้ายก็คือตำแหน่งที่ตั้งของเมืองและหมู่บ้านต่างๆ
และเมื่อทำการรวมทั้งหมดนั้นแล้วก็จะกินอาณาเขตพื้นที่ประมาณ
1 ใน 3 ส่วนจากอาณาเขตทั้งหมดที่พวกเราได้แย่งชิงมาจากจักรวรรดิเอลติซ
ซึ่งอาณาเขตที่ว่านั้นก็จะเป็นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะรวมเอาเมืองกูสตาฟ
ซึ่งเป็นอดีตเมืองศูนย์กลางการปกครองของตระกูลโรเซ็นเบิร์กเข้าไปด้วย
「ขอคัดค้านค่ะ!!
ชั้นคิดว่าทางอาณาจักรออร์คริสตี้ควรจะรับเอาอาณาเขตพื้นที่จากสงครามกับจักรวรรดิเอลติซที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้ไปทั้งหมดเลยนะคะ!!」
「ฟุเอ๊!!!!!! ทะ ทั้งหมดเหรอคะ!!! ดิชั้นทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ!!!
อาณาจักรออร์คริสตี้ของพวกเราแทบจะไม่ได้มีผลงานสำคัญในสงครามครั้งนี้เลยนะคะ!!!」
แต่แล้วแผนการที่ชั้นและเหล่าขุนนางของอาณาจักรออร์คริสตี้ช่วยกันคิดมาทั้งหมดก็ได้ถูกชิซึกุซามะแสดงความเห็นคัดค้านออกมาอย่างชัดเจน
แต่ปัญหาของเธอน่ะ
มันกลับไม่ใช่ว่าเธอนั้นรู้สึกไม่พอใจกับการร้องขออาณาเขตที่พวกเราได้เสนอออกไป
ไม่ว่าชั้นจะลองคิดทบทวนดูยังไง
คำพูดของชิซึกุซามะก็ดูไม่ยุติธรรมกับประเทศพันมิตรต่างๆที่ได้ทุ่มเทกำลังทหารเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะงั้นไอ้เรื่องที่จะให้อาณาจักรออร์คริสตี้รับเอาอาณาเขตพื้นที่ไปทั้งหมดน่ะ
ยังไงก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
แล้วถึงแม้ชิซึกุซามะกับอาณาจักรออร์ธรอสจะต้องการแบบนั้น
แต่ตัวแทนจากประเทศอื่นๆเองก็คงจะไม่มีทางยอมรับข้อเสนอแบบนี้อยู่แล้วจริงมั๊ยล่ะคะ
? ชั้นไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ทำไมชิซึกุซามะถึงได้มีความคิดแบบนั้นกันได้นะคะ...
「อาณาจักรออร์ฟีน่าก็เห็นด้วยกับทางอาณาจักรออร์ธรอสนะคะ」
「อาณาจักรซิสเทียเองก็เห็นด้วยทางอาณาจักรออร์ธรอสเหมือนกันค่ะ เพราะการให้อาณาจักรออร์คริสตี้รับเอาอาณาเขตทั้งหมดไปดูแลน่ะ
มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ」
「จักรวรรดิเลเรียสเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกันกับอาณาจักรออร์ธรอสค่ะ
คริสติน่าซามะเหมาะสมที่จะเป็นผู้ดูแลอาณาเขตพื้นที่เหล่านั้นที่สุดแล้ว」
แต่ในความเป็นจริงมันกลับแตกต่างจากที่ชั้นคิดเอาไว้มาก
เพราะทั้งอาณาจักรออร์ฟีน่า อาณาจักรซิสเทีย
แล้วก็จักรวรรดิเลเรียสกลับมีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน
และในเมื่อตัวแทนจากทั้งสี่ประเทศใหญ่ของกองทัพพันมิตรให้ความเห็นแบบนี้ออกมา
ชั้นคิดว่าพวกตัวแทนจากประเทศเล็กๆเองก็คงจะไม่มีทางแสดงความเห็นคัดค้านออกมาอย่างแน่นอน
「เผ่าโลลิเทียของพวกเราต้องการแค่ปราสาทสเตรวาเรียคืนเท่านั้น
ส่วนเรื่องอาณาเขตพื้นที่นั้นเอาตามที่อาณาจักรออร์ธรอสว่าแบบนั้นดีแล้วล่ะค่ะ」
「ทางสหพันธ์ของพวกเราเองก็คิดว่าแบบนั้นดีแล้วเช่นกันค่ะ」
「อาณาจักรมิลคาร์ทก็เห็นด้วยครับ」
「อาณาจักรแอสเทอเรียเองก็คิดว่าอาณาจักรออร์คริสตี้ควรจะได้ปกครองอาณาเขตทั้งหมดนะคะ」
「นครอิสระแร๊คเน่เองก็เห็นด้วยเช่นกันครับ」
และมันก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
เพราะทุกประเทศต่างก็ได้แสดงความเห็นด้วยกับการยกอาณาเขตทั้งหมดในสงครามครั้งนี้ให้กับทางอาณาจักรออร์คริสตี้ของพวกเรา
จะมีที่แตกต่างก็เพียงแค่เผ่าโลลิเทียเท่านั้นที่ต้องการทวงคืนปราสาทกูสตาฟ
หรือก็คืออดีตปราสาทสเตรวาเรีย ซึ่งเป็นเหมือนกับสถานที่สำคัญทางประวัติของเผ่าโลลิเทียกลับคืนไป
「ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะคะคริสติน่าซัง
เพราะถึงแม้พวกเราจะไม่มีใครต้องการอาณาเขตที่ได้รับจากสงครามในครั้งนี้
แต่พวกเราก็ยังมีข้อตกลงทางการทูตอื่นๆกับทางอาณาจักรออร์คริสตี้อีกมากเลยนะคะ」
「ขอบคุณมากนะคะ....ทุกคน......ขอบคุณมากนะคะ...ทัตสึยะซามะ....」
ถึงแม้ชิซึกุซามะจะพูดออกมาแบบนั้น
แต่ชั้นก็รู้สึกได้เลยว่าพวกตัวแทนทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้นั้นไม่มีคนที่ต้องการเอาเปรียบอาณาจักรออร์คริสตี้ของพวกเราเลยแม้แต่คนเดียว
และการที่เรื่องราวสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแบบนี้เนี่ย
ชั้นรู้ดีเลยล่ะค่ะว่ามันจะต้องเป็นเพราะทัตสึยะซามะ
มันจะต้องเป็นเพราะสามีสุดที่รักของชั้นได้ขอร้องกับทุกคนเอาไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน
--
มุมมองของทัตสึยะ --
ในขณะที่คริสติน่าและพวกตัวแทนของแต่ละประเทศกำลังเข้าประชุมหารือเรื่องสำคัญ
ผม ยูเมะจัง รูริโกะ ที่กำลังว่างอยู่ก็ได้ตัดสินใจมานั่งเล่นวีดีโอเกมกับพวกเด็กกำพร้าจากสงครามที่ไม่มีญาติรับไปเลี้ยง
และถึงแม้หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเด็กกำพร้าขึ้นจำนวนมากนั้นจะเป็นเพราะสงครามที่พวกเราเป็นคนก่อขึ้น
แต่หากลองคิดถึงอนาคตของพวกเด็กๆให้ดีแล้วล่ะก็ บางทีการที่พวกเราได้พรากชีวิตพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ไปนั้นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าก็เป็นได้
เพราะถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเด็กพวกนี้จะยังมีชีวิตอยู่
แต่มันก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าเด็กพวกนี้จะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และหากย้อนไปดูสิ่งที่จักรวรรดิได้ทำกับพวกเด็กๆในเมืองกูสตาฟก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็
พวกเราก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
บางทีเด็กพวกนี้ก็อาจจะถูกนำตัวไปใช้แทนตัวประกันในการทำสงคราม อาจจะถูกนำไปขายเป็นทาสเพื่อเป็นทุนในการทำสงคราม
หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจจะถูกนำไปใช้ทดลองคำสาปหรืออาวุธเวทแบบใหม่อะไรพวกนั้นก็เป็นไปได้
「อุว๊า!!! เจลโล่ของฟิลิเน่จังวิ่งเร็วมากเลยนะคะ!!!」
「ว๊าว!!! ท่านหญิงแอเรียสกำลังยิงเวทชุดใหญ่ไปแล้วนะค๊า!!!」
「ทำไมไอริซามะถึงหลบเวทมนต์ของนู๋ได้ล่ะคะ!!」
「อุฟุฟุ มันเป็นเรื่องของประสบการณ์นะคะ ประสบการณ์ของคนที่เคยเล่นภาคเก่ามาก่อนยังไงล่ะค่ะ!!!」
「ฮืออออออ!!! เจลโล่ของนู๋ ทำไมเจลโล่ของนู๋มันลุกไม่ขึ้นซะแล้วอ่าค่า!!! ฮืออออออ!!!」
「หึหึหึ ไม่มีทางที่จะมีใครเอาชนะแชมป์เกมเจลโล่เรซซิ่งสามสมัย อย่างดิชั้นไปได้หรอกนะคะ」
และถึงแม้ภายนอกจะเห็นว่าผมกำลังสนุกสนานอยู่
แต่ตามจริงแล้วในตอนนี้ผมก็มีเรื่องที่ทำให้กังวลใจอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน โดยสิ่งที่ผมรู้สึกเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องการถอนคำสาปให้กับพวกผู้กล้าต่างโลก
หรือก็คือพวกเพื่อนร่วมห้องของรูริโกะ
ซึ่งการที่ผมรู้สึกเป็นกังวลนั้นก็เป็นเพราะคำสาปของพวกผู้กล้าที่ถูกจับได้ในช่วงหลังมานี้มีความรุนแรงกว่าตอนที่รูริโกะถูกจับกุมตัวอย่างมาก
ดังนั้นจึงทำให้วิธีการที่พวกเราใช้ก่อนหน้านี้นั้นอันตรายจนเกินไป
ในตอนนี้น่ะ
แค่เพียงพวกเราเข้าไปใกล้ก็ทำให้ผู้กล้าเหล่านั้นคุ้มคลั่งจนแทบจะคุมตัวเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ดังนั้นอย่าว่าแต่การเปลี่ยนถ่ายมานาเลย
เพียงแค่การควบคุมไม่ให้นั้นหลุดออกมาก็ต้องใช้วิธีที่รุนแรงเป็นอย่างมากแล้ว
และก็เป็นเพราะเหตุผลข้างต้นนั้นเองที่ทำให้ผมปฏิเสธการเข้าไปเปลี่ยนถ่ายมานาภายในโดยตรงผ่านโลกแห่งฝันของรูริโกะ
และถึงจะบอกว่าปฏิเสธก็เถอะ แต่นั่นก็คือหลังจากที่ผมได้ให้รูริโกะทดลองพร้อมกันกับผมอยู่หลายครั้ง
ซึ่งผลที่ไดรับในแต่ละครั้งนั้นก็เรียกได้ว่าเลวร้ายลงทุกๆครั้ง
ดังนั้นในท้ายที่สุดผมจึงได้ตัดสินใจยกเลิกการถอนคำสาปด้วยวิธีเปลี่ยนถ่ายมานาโดยตรงไปก่อน
ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ ก็ผมน่ะ ไม่มีทางที่จะทนเห็นรูริโกะต้องเจ็บปวดทรมานถึงขนาดนั้นได้อีกแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าความหวังจะดูเล็กน้อยสักแค่ไหน
ซากุระโกะจังที่ยังไม่คิดจะยอมแพ้ก็พยายามคิดหาวิธีอย่างหนัก ดังนั้นในตอนนี้ผมจึงทำได้แค่ฝากเรื่องนี้ให้กับซากุระโกะ
และหวังว่าพรผู้กล้าราชินีแห่งการปรุงยาของเธอจะสามารถแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ให้กับพวกเพื่อนร่วมห้องของเธอได้โดยเร็ว
「ทัตสึยะซามะ พวกเราหาตัวมากิซามะเจอแล้วล่ะค่ะ」
และในตอนที่ผมกำลังจะนำเจลโล่ของผมวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกับพวกเด็กๆอยู่นั้น
เอริจังที่ปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้เข้ามากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ และคำพูดของเอริจังก็ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันที
「คราวนี้ล่ะ ผมจะไม่มีทางปล่อยให้เธอหนีไปไหนได้อีกแล้วนะ มากิจัง!!」
หลังจากประกาศออกไปด้วยเสียงดังก้องไปทั่วห้องโถง
ผมก็รีบสั่งให้จัดเตรียมทีมสำหรับการไปล่าตัวมากิจัง อดีตแฟนสาวสุดที่รัก ที่ตัวผมได้แต่เฝ้าคิดถึงเธอมาตลอดตั้งแต่ได้มาถึงโลกใบนี้ในทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น