ตอนที่ 11 ร้านค้าทาส






นี่มัน! เครื่องประดับของพวกราชวงศ์งั้นรึ ?

ผมเปิดกล่องเครื่องประดับที่ดูหรูหราให้คิวรี่ซังดู ด้านในนั้นเป็นสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้ประดับด้วยจี้ทับทิมขนาดเล็กรูปหัวใจ มันเป็นสร้อยคอที่ดูเรียบง่ายแต่งสวยงาม เหมาะกับเด็กสาวแรกรุ่นที่ใช้ออกงานราตรี ราคา 37,000 เยน จากร้านเครื่องประดับแห่งหนึ่งในห้าง

นอกจากสร้อยเส้นนั้นแล้วก็ยังมีแหวนและต่างหูอีกหลายแบบ

ไม่ใช่หรอกครับ มันเป็นเครื่องประดับที่ประเทศของผมสร้างขึ้นสำหรับเด็กสาวทั่วไปที่ต้องไปออกงานราตรีน่ะครับ

ในประเทศของทัตสึยะซามะเนี่ย แม้แต่สามัญชนก็มีสิทธิใส่ของเช่นนี้เหมือนกับพวกลูกขุนนางที่ร่ำรวยอย่างนั้นรึ

จะพูดอย่างนั้นมันก็ใช่อยู่แหละนะ

ถึงแม้ในญี่ปุ่นจะมีพวกเชื้อสายขุนนางรุ่นเก่าๆอยู่บ้าง แต่ข้าวของเครื่องประดับที่คนพวกนั้นใช้ในตอนนี้ก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป

ไม่ใช่แค่คิวรี่ซังเท่านั้น แม้แต่ยัยโรน่าที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็แสดงท่าทางตื่นเต้นกับความงดงามของเครื่องประดับตรงหน้าเช่นกัน

ตอนที่อยู่ในงานเต้นรำเธอเองก็น่าจะเห็นเด็กสาวหลายคนใส่เครื่องประดับไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มาตกใจเอาตอนนี้กันนะยัยนี่

หมายความว่าทัตสึยะซามะ ต้องการหาตัวแทนเพื่อจำหน่ายของพวกนี้ในจักรวรรดิงั้นสินะ

คิวรี่ซังเข้าใจถูกแล้วครับ พวกผมนั้นมาจากต่างประเทศ ถึงแม้จะพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง แต่พวกเค้าก็ไม่ถนัดด้านการค้าขาย และในอนาคตผมคิดว่าจะเปิดโรงงานสร้างของพวกนี้ขึ้นที่เมืองใหม่ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องการคนไปทำงานด้วยเป็นจำนวนมาก

โฮ่ ช่างเป็นคนหนุ่มที่มองการไกลยิ่งนัก หากข้าอายุน้อยกว่านี้ซัก 20 ปีล่ะก็ คงจะรับเรื่องนี้ไปทำเองแล้ว

คิวรี่ซังนั้นน่าจะอายุมากกว่า 60 ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแววตาแหลมคมและการตัดสินใจที่เฉียบขาด ขนาดเป็นเรื่องธุรกิจการค้าระดับประเทศก็ยังพูดออกมาด้วยความมั่นใจ

พวกพ่อค้าที่มีฝีมือส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะประจำอยู่ในเมืองที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้หรอก เพราะงั้นกว่าจะติดต่อพวกเค้าได้อย่างน้อยก็คงใช้เวลาเกือบเดือน แต่หากทัตสึยะซามะต้องการขายสิ้นค้าในทันทีล่ะก็ ข้าก็พอจะแนะนำพ่อค้าที่มีเงินทุนสูงให้ได้บ้างเอาไหมล่ะ

มันก็จริงอยู่ที่เมืองแห่งนี้เป็นเพียงเมืองป้อมปราการที่ห่างไกลจากเขตเศรษฐกิจ แต่การที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนนั้นแสดงให้เห็นว่า โลกใบนี้นั้นขาดความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางไกล และนั่นทำให้ผมคิดว่าในอนาคตพวกเราคงจะต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อความสะดวกในการติดต่อ

ด้วยเทคโนโลยีที่พวกเรามีบวกกับเวทมนต์ในโลกนี้ บางทีเราอาจจะสามารถติดตั้งเสาสื่อสารทางไกล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในโลกนี้ได้

ถ้าหากแต่ละเมืองที่อยู่ห่างกันสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็วล่ะก็ บางทีการเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บป่วย หรือเข้าช่วยเหลือเมืองที่ถูกพวกโจรป่าหรือมอนสเตอร์โจมตีคงจะทำได้รวดเร็วขึ้นอีกมาก

อย่างน้อยก็เริ่มจากเมืองของพวกเราและเมืองเวลล่า ผมคิดว่าหลังจากกลับไปถึงห้างคงจะมีงานให้ทำเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

เอาแบบนั้นก่อนก็ได้ครับ ถึงผมจะไม่ได้ร้อนเงิน แต่ก็อยากจะเริ่มทำความรู้จักพวกพ่อค้าเอาไว้น่ะ

โฮ่ โฮ่ ถ้างั้นข้าจะเขียนจดหมายแนะนำให้ก็แล้วกัน เจ้านั่นน่ะถึงจะขี้งกมากไปซักหน่อยแต่ก็พอจะไว้ใจได้ หากมีจดหมายแนะนำกับตราประจำตระกูลโรเซนเบิร์กล่ะก็ อย่างน้อยเจ้านั่นก็คงจะไม่กดราคาจนเกินไปล่ะนะ

พ่อค้าที่คิวรี่แนะนำว่ามีเงินทุนสูงนั้นมีชื่อว่าโอเว่น ในเมืองนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เปิดร้านค้าทาสแล้วยังอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นคนที่เขี้ยวลากดินเป็นที่สุด แต่กับพ่อค้าที่มีประสบการณ์แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ

จะว่าไปพวกเราเองก็มีธุระที่จะต้องไปทำที่ร้านค้าทาสด้วยอยู่แล้วนี่นะ พอเป็นแบบนี้ก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะเลยทีเดียว

ถ้าเช่นนั้น หลังจากนี้ก็ต้องขอฝากตัวด้วยนะครับ

ข้าเองก็เช่นกัน

ผมโค้งให้กับคิวรี่ซังเป็นการขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ จากนั้นพวกเราก็เดินออกมาจากห้องรับรอง

เมื่อออกมาถึงบริเวณห้องโถงด้านนอกนั้น ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้นั้นแตกต่างจากตอนที่พวกเรามาถึงอย่างมาก

ในตอนแรกนั้นบริเวณเคาน์เตอร์มีผู้คนที่เข้าแถวอยู่มากก็จริง แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าหลายเท่า แต่พอผมมองไปรอบๆก็พอจะเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง บริเวณบอร์ดประกาศรับสมัครงานในตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากกำลังแอดอัดกัน

ดูเหมือนว่าจะกำลังสอบถามข้อมูลของงานที่พึ่งติดประกาศใหม่ คงจะเป็นเพราะมีงานด่วนหรืองานที่ทำรายได้ดีมากเข้ามา ผู้คนจึงดูตื่นเต้นกันถึงขนาดนั้น

เอาเถอะมันคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับสมัครคนของพวกเราหรอกมั้ง

นั่นสินะคะ

ครู่หนึ่งผมคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าอาจจะเป็นเพราะมีคนสนใจงานที่ผมรับสมัครค่อนข้างเยอะ แต่เนื่องจากพวกเราพึ่งจะลงทะเบียนเอกสารกันเสร็จไปไม่นาน ดังนั้นคงไม่น่าจะใช่

พวกเราทั้งสามคนพยายามฝ่าฝูงชนจนออกมายังด้านนอกกิลด์ได้ในที่สุด

ถ้างั้นก็ ร้านค้าทาสสินะ

พอพูดถึงร้านค้าทาสแล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงไลท์โนเวลหลายๆเรื่อง การผจญภัยร่วมกับทาสสาวหลายๆคนงั้นรึ หากผมถูกวาปมายังโลกนี้เพียงคนเดียวล่ะก็ ผมจะใช้เงินทั้งหมดที่มีมาซื้อทาสสาวน่ารักๆเก็บไว้เยอะๆ

แต่ผมในตอนนี้คงจะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ พวกเรายังมีความจำเป็นต้องใช้เงินทำอะไรอีกหลายอย่าง แต่ถ้าหากในอนาคตมีเงินเหลือเยอะล่ะก็ บางทีผมอาจจะลองทำแบบนั้นดูซักครั้ง

ถ้าทัตสึยะซังชอบล่ะก็ จะให้ชั้นใส่ปลอกคอตอนทำเรื่องอย่างว่าก็ได้นะคะ

มายุจังที่เกาะแขนผมอยู่พูดขึ้นมา นี่ความคิดผมของมันแสดงออกไปทางสีหน้าหรือยังไงนะ

นั่นสินะ ถ้าเป็นมายุจังล่ะก็คงทำให้ผมสนุกได้มากเลยล่ะ

ผมกับมายุจังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานระหว่างเดินไปยังร้านค้าทาส แต่ยัยโรน่าที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย กลับมีสีหน้าแดงก่ำไปด้วยความเขินอาย

และในที่สุดพวกเราก็มาถึงยังร้านค้าทาสโอเว่น

ร้านค้าทาสเรนโนนั้นเป็นอาคาร 2 ชั้นที่สร้างจากหิน ที่หน้าต่างชั้น 2 มีการใส่กรงเหล็กครอบเอาไว้ คงจะทำเอาไว้เพื่อป้องกันทาสหลบหนี ภายในนั้นแตกต่างจากที่ผมคิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง

ที่ชั้นหนึ่งนั้นเป็นห้องโถงที่มีตกแต่งหรูหราคล้ายกับห้องรับรองในปราสาท มีโต๊ะเก้าอี้หรูหราหลายชุดถูกวางเอาไว้เป็นส่วนๆสำหรับลูกค้า มีพนักงานสาวที่ใส่ปลอกคอหลายคนกำลังเดินเสริฟเครื่องดื่มให้กับบรรดาลูกค้าอยู่

เครื่องแต่งกายของพวกเธอนั้นค่อนข้างเปิดเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าเป็นอย่างมาก และนั่นก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจถึงเรื่องที่ ร้านนี้เป็นเพียงร้านเดียวในเมืองที่อยู่รอดได้แล้ว

แทนที่จะจับทาสขังเอาไว้ในกรงและให้ลูกค้าไปเลือกดู แต่ที่นี่กลับใช้วิธีให้ลูกค้านั่งจิบชาพร้อมกับคอยดูเหล่าทาสสาวที่ถูกใจทำงานแทน หากทำแบบนี้ล่ะก็ถึงแม้จะขายทาสออกน้อย แต่ก็ยังสามารถเก็บเงินจากลูกค้าในแต่ละวันได้มากอยู่ดี

นายท่านและคุณหนูพึ่งจะเคยมาที่นี่ครั้งแรกสินะครับ ถ้ายังไงให้ผมเป็นคนพาชมดีมั๊ยครับ

พนักงานชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเราในทันที

เอ่อ...นี่ค่ะ

โรน่านำเหรียญตราประจำตระกูลโรเซนเบิร์กและจดหมายที่เขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับการเสียภาษีทาสของพวกเอาไว้ให้กับพนักงาน

พนักงานที่เห็นเหรียญตรานั้นแสดงท่าทีตกใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะกลับไปดูสุขุมเช่นเดิม ดูท่าว่าที่นี่จะต้องคอยรับมือกับขุนนางชั้นสูงบ่อยๆจึงไม่ตื่นเต้นมากนัก

เชิญตามผมมาด้านนี้ได้เลยครับ

พนักงานพาพวกเราเข้าไปยังห้องรับรองที่อยู่ด้านใน

กรุณารอที่นี่ก่อนซักครู่นะครับ

จากนั้นพนักงานหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องรับรองพร้อมกับนำจดหมายของพวกเราไปด้วย ก็คงจะเอาไปให้เจ้าของร้านดูนั่นแหละนะ

หลังจากนั้นก็มีพนักงานสาวที่เป็นทาส 2 คนเคาะประตูห้อง และค่อยๆเปิดประตูเข้ามาเพื่อเสริฟน้ำชาและของหวาน

คนหนึ่งเป็นเด็กสาวเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีหางฟูฟ่องเหมือนกระรอก ส่วนอีกคนเป็นเด็กสาวเผ่ามนุษย์ที่มีผมสีแดงเป็นประกาย

9 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 มกราคม 2559 เวลา 12:41

    ขอบคุณครับ ว่าแต่เอาของจากในห้างมาขายงั้นเหรอ จะดีรึ เพราะถ้าพวกราชวงศ์หรือขุนนางที่มีความโลภแล้วอยากจะได้มาครอบครองทั้งหมด จะไม่เกิดสงครามงั้นเหรอ เพราะคนพวกนี้ถ้าอยากได้สิ่งใดแล้วมักจะมาทำสงครามที่ชื่อว่า "การแย่งชิง" ยังไงล่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมว่าฝ่ายราชวงศ์คงต้องคิดล่ะครับ ว่า ประเทศที่ผลิตของแบบนี้ได้ต้องมีเงินทุนสูง + กำลังทหารมาก ยิ่งถ้าเกิดทำสงครามกับประเทศนั้นแล้ว มีโอกาสที่อีกประเทศจะมาตลบหลังได้นะครับ ต่อให้ร่วมมือกันก็คงไม่คุ้มกับกำลังทหารที่เสีย น่ะครับ ดูจากทีมตัวเอกแล้ว แค่คนเดียวก็มีพลังเท่ากับจอมเวทย์ในตำนานละมั้งครับ

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ30 มกราคม 2559 เวลา 14:41

      แต่ถ้ามาทำสงครามจริงๆก็คงต้องโต้กลับเท่านั้น อย่างคำที่ว่า "คนที่ยิงได้หน่ะ คือคนที่เตรียมใจว่าจะถูกยิงกลับเท่านั้น"

      ลบ
    3. สักวันหนึ่งสงครามก็ต้องเกิดแหละครับเป็นเรื่องธรรมดา
      ถึงแม้จะไม่ได้ขายของแต่แค่เรื่องราวหลุดไปก็เสี่ยงแล้วครับ
      แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ทัตสึยะและอากิโอะรู้
      และเริ่มวางแผนการเตรียมเอาไว้แล้ว

      อากิโอะเตรียมกำลังรบ
      ทัตสึยะเตรียมการเงิน

      เพราะงั้นทัตสึยะถึงพยายามซื้อใจตระกูลของเซลฟีน่า + ชาวเมืองให้เยอะไว้ก่อน
      ส่วนพวกพ่อค้าย่อมเข้าข้างฝ่ายที่ตัวเองได้กำไร

      ลบ
  2. ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ครับ
    จะได้ฮาเร็มเพิ่มแล้วสินะครับ

    ตอบลบ
  3. เอาของห้างมาขายจิงๆด้วยแต่ยังคิดจะเพิ่มฮาเร็มอีกเรอะ!!แค่นี้ผมก็จำชื่อตัวละครแทบไม่หมดแล้วครับ 5555555 ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ต้องซีเรียสครับ จำตัวละครหลักได้ก็พอแล้ว
      เรื่องนี้ตัวละครมันเยอะจริงๆครับ

      ลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ31 มกราคม 2559 เวลา 22:55

    ทันสึยะนี้ป๋าจริงวางแผนจะติดอุปกรณ์สื่อสารให้ทุกเมืองด้วยแบบนี้ก็เท่ากับประกาศตัวอย่างเป็นทางการสิแล้วความได้เปรียบในการส่งสารทางปาตี้กันก็จะหายไปการเป็นการดวลตัวๆละ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ทัตสึยะไม่ได้คิดจะยึดครองโลกนะครับ คิดจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นต่างหาก....
      แต่ใครที่คิดจะมาโจมตีก็ต้องสวนกลับเท่านั้นเอง

      ลบ