ตอนที่ 25 มิคาซึกิ รูริโกะ



-- มุมมองของทัตสึยะ --                          

มิคาซึกิ รูริโกะ เด็กสาวผู้มีผมตรงยาวสลวยสีดำเป็นมันวาว ใบหน้าของเธอมันก็ช่างงดงามมีเสน่ห์ รูปร่างเพรียวบางได้แต่สัดส่วนแลดูสง่างามและน่าทะนุถนอม ผิวขาวเนียนผ่อนน่าสัมผัส และเธอยังมีดวงตาสีอ๊อบซิเดียนแสนเย้ายวนที่ดึงดูดผู้ชายทุกคนให้หันไปมองเธออยู่ตลอดเวลา

เธอเป็นเด็กสาวสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูมาราวกับอัญมณีเลอค่า แต่คุณค่าของเธอนั้นไม่สามารถตีราคาเป็นเงินทองได้ เธอเป็นเด็กสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความมุ่งมั่นต่อตระกูล เธอเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถเพียบพร้อมและมักจะอยู่เหนือเด็กสาวคนอื่นในทุกๆด้าน เธอเป็นเด็กสาวที่ผู้คนต่างยอมรับว่าเหมาะสมกับการเป็นแบบอย่างของกุลสตรีญี่ปุ่น

แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เป็นเพียงแค่ตัวตนภายนอก เพราะสำหรับผมแล้ว.....มิคาซึกิ รูริโกะ นั้นเป็นเพียงเด็กสาวขี้เหงาคนหนึ่ง ที่มักจะใจใส่และดีใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นมักจะไม่เห็นค่าเพียงเท่านั้น.......

เมื่อพูดถึงเธอแล้วก็คงจะต้องย้อนไปเมื่อสมัยที่ผมยังเด็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับรูริโกะ ในตอนนั้นผมยังเป็นเด็กที่มีอายุเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น เนื่องจากแม่ของผมเป็นลูกสาวของผู้นำตระกูลมิคาซึกิ ผมถูกพาไปแนะนำตัวกับคุณตาและก็พวกญาติๆคนอื่นๆทางฝ่ายแม่

และในวันนั้นเองก็เป็นวันที่ตระกูลมิคาซึกิทำการเปิดตัวรูริโกะ ตัวเธอซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของลูกชายคนโตนั้นมีหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมของญี่ปุ่น เพราะเหตุนั้นเธอจึงถูกฝึกฝนหลายสิ่งหลายอย่างมาตั้งแต่ยังเด็ก

งานพิธีเปิดตัวรูริโกะถูกจัดขึ้นภายในสวนดอกซากุระกว้างขวางด้านหลังคฤหาสน์ญี่ปุ่นเก่าแก่ และเมื่อเด็กผู้หญิงอายุเพียง 9 ปีในชุดกิโมโนแสนงดงามปรากฏตัวออกมานั้น มันสร้างความประทับใจให้กับพวกญาติๆและแขกที่เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก

การร่ายรำแบบญี่ปุ่น ศิลปะในการจัดดอกไม้และการชงชานั้นดึงดูดทั้งสายตาและหัวใจของผู้คนที่ได้ชมเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ถึงความอิจฉาริษยาจากผู้คนที่มองดูเธออยู่เช่นเดียวกัน

ส่วนตัวผมนั้น บอกตรงๆเลยว่าผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าการมานั่งดูเด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบชงชานั้นมันทำให้รู้สึกสนุกตรงไหน และยิ่งพวกที่อิจฉาเด็กผู้หญิงไร้เดียงสาแบบนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจความคิดของพวกผู้ใหญ่เลยจริงๆ

เพราะเหตุนั้นผมเองจึงได้แอบหนีออกจากงานดังกล่าวและไปวิ่งเล่นเพื่อสำรวจบริเวณรอบๆคฤหาสน์ญี่ปุ่นหลังใหญ่แทน แต่เพราะพื้นที่รอบคฤหาสน์นั้นกว้างขวางเป็นอย่างมากจึงทำให้เสียเวลาไปเยอะ และตัวผมที่วิ่งเล่นไปทั่วนั้น สุดท้ายก็หลงทางจนได้

แต่แล้วผมที่หาทางกลับไปยังสถานที่จัดงานไม่ถูกนั้นก็ได้พบกับรูริโกะ เด็กสาวอายุ 9 ปี ที่ควรจะเป็นตัวหลักในงานเลี้ยงครั้งนี้ ตัวเธอนั้นดูเหมือนจะกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่

ทำอะไรของเธอน่ะ?

ต่อหน้าเด็กสาวในชุดกิโมโนแสนสวย ผมถามออกไปเพราะสนใจในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่มาก รอบๆตัวเธอในตอนนี้มีสิ่งของและอุปกรณ์แปลกๆ ข้าวของ และวัตถุดิบที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่อย่างมากมาย

กำลังชงชาให้กับโอริฮิเมะน่ะค่ะ

ชงชาให้กับโอริฮิเมะ...? ใครกันล่ะนั่น ผมมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบกับใครสักคนเลย สิ่งที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้มีเพียงแค่แมวขนสีเทาขาวตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่ตรงหน้าเธอเพียงเท่านั้น.....ฮะ....นี่หรือว่าเธอจะ...

อย่าบอกนะว่าเธอชงชาให้แมวน่ะ?

ไม่ใช่แมวแต่เป็นเพื่อนของชั้น เธอชื่อโอริฮิเมะนะคะ

อุ....ฮะ...!!

ผมแทบจะหัวเราะออกมาแต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ เอาจริงดิ? นี่เธอกำลังชงชาให้กับแมวเนี่ยนะ? ตัวผมนั้นไม่เคยเลี้ยงแมวด้วยตัวเองมาก่อนจึงไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก แต่บ้านของเพื่อนนั้นมีหลายคนเลยที่เลี้ยงแมว แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่เคยเห็นใครชงชาให้แมวมาก่อนเลยจริงๆนะ.....

นี่ค่ะ โอริฮิเมะ

รูริโกะเทชาที่ชงเสร็จแล้วใส่ในถ้วยกระเบื้องใบเล็กและยื่นให้กับเจ้าแมวชื่อโอริฮิเมะที่อยู่ตรงหน้า แต่หลังจากเลียไปเพียงไม่กี่ทีเท่านั้น เจ้าแมวที่ชื่อโอริฮิเมะก็เลิกเลียและกลับไปนอน

อ๊ะ!! หรือว่าจะไม่ชอบอีกแล้วเหรอคะโอริฮิเมะ นี่ชั้นคงจะยังพยายามไม่พอสินะคะ.....

รูริโกะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ดูเหมือนว่าเธอจะลองมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเจ้าแมวที่ชื่อโอริฮิเมะนี่ก็ดูจะไม่ชอบชาที่เธอชงให้สักเท่าไหร่....แต่ถึงแม้เรื่องนี้มันจะฟังดูตลก ผมก็ไม่คิดว่าความพยายามของเธอนั้นควรที่จะถูกเยาะเย้ย

จะว่าไปแล้ว เธอที่เป็นเจ้าของงานครั้งนี้หนีออกมาเนี่ย แบบนี้จะไม่ถูกดุเอาเหรอ...

ผมพยายามจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อปรับบรรยากาศ แต่ก็ดันนึกอะไรดีดีไม่ออก แล้วสุดท้ายก็ดันไปพูดเรื่องที่ฟังดูน่าเบื่อซะอีก ทำอะไรของผมกันล่ะเนี่ย....

ชั้นไม่ได้หนีออกมานะคะ!! ก็แค่จะปล่อยให้โอริฮิเมะอยู่คนเดียวทั้งๆที่คนอื่นๆกำลังสนุกสนานกัน...แบบนั้นมันก็น่าสงสารแย่สิคะ!!

ถึงเธอจะพูดออกมาแบบนั้นก็ตามที แต่กับเจ้าแมวตรงหน้าที่กำลังนอนเกาพุงแล้วหลับด้วยหน้าตาสุขสบายแบบนั้น ผมไม่คิดว่าเจ้านี่มันจะน่าสงสารอะไรเลยสักนิด กลับกัน ผมคิดว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าที่ถูกแมวเมินคนนี้ยังดูน่าสงสารยิ่งกว่าอีก

รูริโกะซามะ!! หมดเวลาพักแล้วนะคะ!! พวกเราต้องรีบกลับไปเตรียมชุดสำหรับการรำพัดแล้วนะคะ รีบกลับไปที่งานกันเถอะค่ะ!!

ในตอนนั้นเอง เด็กสาวคนหนึ่งในชุดกิโมโนเรียบๆก็วิ่งเข้ามา ดูเหมือนเธอจะเป็นคนรับใช้ที่คอยดูแลรูริโกะหรืออะไรคล้ายๆแบบนั้น

เอ๋!! แต่ว่าโอริฮิเมะ.....

ถ้างั้นผมจะดูแลโอริฮิเมะให้เองก็แล้วกัน ยังมีผู้คนอีกมากที่กำลังรอดูการแสดงของเธอนะ

ด้วยการเกลี้ยกล่อมของผม รูริโกะก็ยอมกลับไปที่งาน และถึงแม้เธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร แต่เธอก็ก้มหัวและขอบคุณผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งภาพรอยยิ้มของเธอในวันนั้น มันก็ประทับอยู่ในหัวใจของผมเสมอมา.....

และนั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองคน แล้วหลังจากวันนั้น ผมก็ได้ไปที่บ้านตระกูลมิคาซึกิอีกหลายครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะว่ามีงานเลี้ยงหรืออะไรทำนองนั้นบ่อยๆหรอก แต่นั่นเป็นเพราะผมอยากที่จะพบกับรูริโกะ

ผมรู้สึกว่าการได้พูดคุยกับเธอนั้นมันสนุกดี กับตัวเธอที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยสภาพแวดล้อมที่แต่งต่างกับตัวผมอย่างสิ้นเชิงนั้น มันกลับทำให้พวกเราทั้งสองคนมีเรื่องราวมากมายให้พูดคุยกัน

แน่นอนว่าผมจะซื้ออาหารแมวและสิ่งของหลายอย่างที่คิดว่าเจ้าโอริฮิเมะจะชอบไปให้กับมันด้วย และในตอนที่ผมทอดปลาคอดให้กับเจ้าโอริฮิเมะทานนั้น รูริโกะก็ประทับใจสุดๆไปเลยล่ะ แค่ลองนึกย้อนไปในช่วงสมัยนั้นที่พวกเราได้เล่นสนุกกันแล้ว มันก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เลยทีเดียว

แต่แล้วหลังจากนั้นหลายปี ในช่วงที่ผมกำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย ผมก็ได้รับรู้เรื่องการหมั้นหมายของรูริโกะ กับลูกชายของประทานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ผมจำได้เลยว่าในตอนนั้นผมรู้สึกช็อคเป็นอย่างมาก และก็เป็นในคืนนั้นเอง ที่ผมก็ร้องไห้อย่างหนักแทบทั้งคืน

หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ไปหารูริโกะอีก ไม่ว่าเธอจะส่งจดหมายมาหาผมในช่วงปีใหม่ หรือว่าส่งของขวัญวันเกิดมาให้ ผมก็ไม่ได้ตอบเธอกลับไปเลย ผมยังไม่สามารถทำใจที่จะไปพบกับเธอได้ และเพื่อที่จะลืมเธอ ผมจึงเริ่มคบหากับผู้หญิงคนอื่นหลากหลายคน

ถึงแม้ว่าพวกเธอเหล่านั้นจะไม่สามารถมาแทนที่รูริโกะได้ แต่ผมก็เลือกที่จะตอบรับของพวกสาวๆที่เข้ามาสารภาพรักกับผม ถึงจะไม่เท่ากับรูริโกะ แต่ผมก็รู้สึกชอบพวกเธอ และในช่วงวันคริสต์มาสอีฟในปีนั้น ผมก็ได้พรากเอาความบริสุทธิ์ของเด็กสาวที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นในสมัยนั้น

แล้วมันก็คงจะเป็นเพราะโชคตะตา เพราะทั้งๆที่ผมคิดว่าได้ลืมความรู้สึกที่มีให้กับเด็กสาวคนนี้ไปแล้ว.......แต่ตัวผมและเธอต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง.....ในโลกใบนี้.....

รูริ!!

ผมรีบวิ่งเข้าไปหารูริโกะในทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของเธอ

อิย๊า!! อย่ามาจับชั้นนะ!! ปล่อยนะ!!

รูริโกะพยายามดิ้นรนและสลัดผมออกจากร่างกายของเธอ ทั้งๆที่ตัวเธอถูกตรึงเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนเวทมนต์ แต่เธอกลับยังมีเรี่ยวแรงมากมายที่จะต่อต้าน มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเธอนั้นมีพลังของผู้กล้าอยู่จริงๆ

รูริ นี่พี่เอง!! มองหน้าพี่สิ!! ถึงจะไม่ได้เจอกันหลายปีแต่ก็คงจำพี่ได้ใช่มั๊ย?

อิย๊า!!!! ชั้นไม่รู้จักคุณ!! ชั้นไม่มีพี่ชายอย่างคุณ!! ปล่อยชั้นไปนะ!! ไอ้พวกปีศาจ!! อ๊า!! อิย๊า!!!!!

แต่ถึงแม้เธอจะเห็นหน้าผม เธอก็ยังจำผมไม่ได้ นั่นจึงทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่ได้คุยกับเจ้าอากิโอะเมื่อคืน บางทีเธออาจจะถูกควบคุม หรืออาจจะถูกเวทมนต์หรืออะไรบางอย่างครอบงำอยู่ก็เป็นไปได้

นะ!! นี่มันอะไรเนี่ย!!

ในตอนนั้นเองก็มีรอยสักสีดำปรากฏขึ้นบริเวณช่วงต้นคอของรูริโกะ และยังมีออร่าสีดำเรืองแสงออกมาจากบริเวณช่วงไหล่ของเธอ นี่มันหรือว่าจะเป็นคำสาปงั้นเหรอ?

Holy Magic: Curse Purification!!

เมื่อเห็นดังนั้น ฟูมิโกะจังที่อยู่ข้างๆรีบใช้เวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อล้างคำสาปในทันที ซึ่งมันก็ทำให้รอยสักและออร่าสีดำเหล่านั้นค่อยๆจางหายไป แต่ตัวรูริโกะเองก็สลบไปพร้อมกันด้วย

หลังจากนั้น ผมก็สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคาโอริจัง ซึ่งก็ดูเหมือนว่ารูริโกะและพวกสายลับจากจักรวรรดิเอลติซจะเข้ามาหาข้อมูลอะไรบางที่กิลด์เมด แต่ตัวสายลับที่เราถูกพวกเราจับตัวได้นั้น เค้าได้เสียชีวิตลงในทันที ซึ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะคำสาปหรืออะไรบางอย่าง

ส่วนรูริโกะนั้นเธอถูกคาโอริจังหลอกล่อให้เข้ามาสมัครงาน ถูกวางยาและถูกจับกุมตัวมายังที่ห้องใต้ดินแห่งนี้ แต่เนื่องจากรูริโกะนั้นเป็นผู้กล้าจึงมีความต้านทานสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเมื่อคำสาปทำงานเธอจึงไม่ได้เสียชีวิตลง

แต่ปัญหาก็คือ แม้ว่าฟูมิโกะจังจะใช้เวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยคลายคำสาปไปกี่ครั้ง พอรูริโกะฟื้นกลับขึ้นมาเธอก็จะถูกคำสาปเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

และยิ่งหากพวกเราไปเค้นถามข้อมูล หรือพยายามแตะต้องตัวเธอล่ะก็ คำสาปก็จะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก และก็เพราะเวทมนต์ไม่สามารักษาเธอได้ เอริจังจึงไปยังศูนย์วิจัยเวชภัณฑ์ที่เมืองท่าออร์วิสเพื่อค้นหาตัวยาที่จะใช้ในการรักษา

รูริ.....

ผมเรียกชื่อของรูริโกะและมองดูเธอที่กำลังนอนหมดสติลงไปอยู่เบื้องหน้า นี่เป็นเพราะผมใจร้อนและเข้าไปจับตัวเธออย่างนั้นเหรอ และทั้งๆที่รูริโกะเป็นแบบนี้ แต่ตัวผมกลับไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลยงั้นเหรอ....

นายท่านคะ เอริซามะจะต้องเอายามาช่วยรักษาคำสาปของเธอได้แน่ๆค่ะ

มาเรียจังที่อยู่เงียบๆมาตลอดพูดขึ้น เธอเดินเข้ามากุมมือของผมด้วยมืดเล็กๆทั้งสองข้างของเธอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มาเรียจังก็ยังเชื่อมั่นในตัวพวกเราที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมเวท.......นั่นสินะ......สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คงจะมีแต่การเชื่อในตัวของเอริจังเท่านั้น

ขอบใจนะ มาเรีย....

หลังจากนั้นประมาณ 30 นาที เอริจังที่ไปเอายาจากศูนย์วิจัยเวชภัณฑ์ก็ได้กลับมาถึงพร้อมกับกระเป๋ายาขนาดใหญ่

ขอโทษที่มาช้านะคะ ทัตสึยะซามะ คาโอริซามะ ฟูมิโกะซามะ

เธอไม่ต้องขอโทษหรอก ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่ต้องให้เธอไปลำบากด้วยตัวเองถึงขนาดนั้น

หลังจากนั้นเอริจังก็เปิดกระเป๋า และนำเครื่องมือหลายอย่างออกมาติดตั้ง คาโอริจังเองก็ช่วยถอดเสื้อผ้าของรูริโกะออก เนื่องจากเอริจังนั้นเป็นคนเดียวในหมู่พวกเราที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับด้านการแพทย์ในระดับสูง

นอกจากนั้นแล้ว ตัวเธอที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองก็ยังมีข้อมูลสำคัญในเรื่องต่างๆแทบทุกเรื่องจากทั่วทุกมุมโลก เพราะงั้นผมสามารถบอกได้เลยว่า ถ้าหากเอริจังยังไม่สามารถช่วยได้ล่ะก็ ถ้างั้นก็คงจะมีแต่พวกเทพธิดาหรือพระเจ้าเท่านั้นล่ะที่จะช่วยได้

ก่อนอื่น จะขออธิบายผลการตรวจสอบความผิดปกติภายในร่างกายของรูริโกะซามะก่อนนะคะ

หลังจากตรวจสอบร่างกายของรูริโกะจังด้วยเครื่องมือเวทมนต์หลากหลายชนิด เอริจังก็เริ่มอธิบายให้กับพวกเราฟัง

ภายในตัวของรูริโกะในตอนนี้จะมีมานาไม่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมหลอมรวมอยู่ภายในเส้นประสาทและอวัยวะสำคัญหลายส่วน ซึ่งมันก็คือเจ้าออร่าสีดำที่ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้ในตอนที่ผมจับต้องตัวรูริโกะ

และไอ้เจ้ามานาสีดำที่ว่านั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คำสาปภายในร่างกายของเธอทำงานขึ้นตามเงื่อนไขต่างๆ นอกจากนั้นแล้วเจ้ามานาสีดำนั่นยังหลอมรวมอยู่แม้แต่ภายในเซลล์สมองของเธอ ซึ่งมันก็เป็นเพราะไอ้เจ้านี่เองที่เป็นสาเหตุในความทรงจำของรูริโกะเกิดความสับสน

แล้วพอจะมีวิธีรักษารูริหรือเปล่า....

ผมถามคำถามที่ทุกคนน่าจะอยากรู้มากที่สุดออกไป หลังจากที่ฟังเอริจังเล่ามาแล้วนั้น แม้แต่ตัวผมเองที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์มากนักก็ยังสามารถเข้าใจได้เลยว่า อาการของรูริโกะนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ

มันก็พอจะมีวิธีอยู่นะคะ....เพียงแต่มันเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง....แล้วมันก็ค่อนข้างจะเป็นการล่วงละเมิดต่อรูริโกะซามะมากไปสักหน่อย.....

หลังจากนั้นเอริจังก็บอกวิธีที่เธอคิดว่าน่าจะสามารถช่วยรูริโกะได้ ซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนถ่ายมานาภายในร่างกาย ซึ่งหากพูดถึงคนปกติในโลกใบนี้แล้ว มานานั้นเป็นเหมือนกับพลังงานที่ถูกผลิตขึ้นมาจากอวัยวะภายในร่างกาย และมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีความสามารถในการควบคุมมานาภายในร่างกาย

แต่สำหรับรูริโกะในตอนนี้จะกลับกันกับคนทั่วไป นั่นก็คือเจ้าตัวมานาสีดำนั่นมันกลายมาเป็นคนควบคุมร่างกายของเธอ และมันก็ยังทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตมานาภายในร่างกายของเธอ

ดังนั้นหากพวกเราสามารถที่จะเปลี่ยนถ่ายมานาสีดำส่วนใหญ่ออกไปจากร่างกายของรูริโกะได้ล่ะก็ ด้วยการที่ตัวเธอนั้นได้รับพรแห่งผู้กล้า เธอก็คงจะสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ด้วยตัวเอง

ซึ่งโดยปกติแล้ว ไอ้การเปลี่ยนถ่ายมานาในร่างกายมนุษย์เนี่ย ผมคิดว่าคงจะไม่มีใครเค้าคิดจะทำกันแน่ๆ ส่วนวิธีการนั้นก็ต้อง.....

ต้องใช้สกิล Mana Channeling ของผมงั้นเหรอ?

ด้วยสกิล Mana Channeling ของผมนั้น ถ้าหากมานาในร่างกายของตัวผมและเป้าหมายใกล้เต็มกันทั้งคู่ ผมก็จะสามารถขับมานาที่เป็นส่วนเกินของเป้าหมายออกไปได้

ใช่แล้วค่ะ ถ้าเป็นสกิล Mana Channeling LVA ของทัตสึยะซามะล่ะก็ การจะขับมานาที่ไม่บริสุทธิในร่างกายของผู้อื่นออกไปนั้นสามารถทำได้แน่ โดยก่อนอื่นเลย ชั้นจะใช้ยาเพื่อระงับจิตใต้สำนึกของรูริโกะซามะเพื่อลดการต่อต้อนของเธอ จากนั้นก็จะใช้ยาที่จะช่วยส่งผลในการเจือจางมานาภายในร่างกายเพื่อให้ง่ายต้องการขับมันออกมา แล้วก็คงจะต้องใช้ยาปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศเพื่อไม่ให้ร่างกายของเธอเกิดความตึงเครียด.....

แต่สกิล Mana Channeling ของผมมันไม่สามารถส่งมานาเข้าไปยังร่างกายของผู้ที่มีสัดส่วนพลังมานามากกว่าผมได้....….

สำหรับสกิล Mana Channeling ของผมนั้น มันสามารถที่จะส่งมานาจากผมเข้าไปในร่างกายของเป้าหมายได้ผ่านการสัมผัสและโต้ตอบกันอย่างลึกซึ้งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แต่มันเป็นสกิลที่จะทำงานกับเป้าหมายที่มีสัดส่วนมานาในปัจจุบันน้อยกว่าผมเท่านั้น

และนั่นก็หมายความว่า ถ้าหากมานาของผมลดลงไปเหลือ 9 ใน 10 ส่วนเมื่อไหร่ล่ะก็ ผมก็จะไม่สามารถใช้สกิลนี้กับเป้าหมายได้อีก ซึ่งนั่นก็จำเป็นจะต้อง.....

ตัวผมเองก็จะต้องเติมมานาในร่างกายให้เต็มแทบจะตลอดเวลาเช่นเดียวกัน แบบนั้นสินะ?

ใช่แล้วล่ะค่ะ เพราะงั้นก็คงจำเป็นจะต้องมีคนอีกคนหนึ่งที่จะเป็นแหล่งมานาให้กับทัตสึยะซามะ แล้วเธอคนนั้นก็จะต้องมีทั้งพลังมานาและความสามารถในการฟื้นฟูมานาอย่างสูง

ยูเมะจัง?

พอผมพูดชื่อคนที่คิดออกไป เอริจังก็ยิ้มออกมา ถ้าหากเป็นยูเมะจังที่มีมานาในร่างกายสูงที่สุดในหมู่พวกเราก็คงจะไม่มีปัญหา นอกจากนั้นแล้วยูเมะจังยังสามารถที่จะฟื้นฟูมานาจากทุกสิ่งรอบตัวได้ด้วยสกิล Mana Drain ดังนั้นจึงไม่มีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากกว่าเธออีกแล้ว

นอกจากนั้นแล้ว การรักษายังจำเป็นจะต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วยนะคะ เพราะหากหยุดไปกลางคันล่ะก็ ชั้นไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่าจะต้องใช้เวลานานมากแค่ไหน เพราะในร่างกายรูริโกะซามะซึ่งเป็นผู้กล้านั้นมีมานาอยู่จำนวนมากกว่าคนทั่วไปมากเลยล่ะค่ะ.....

จากที่เอริจังพูดมานั้น ดูเหมือนว่าคงจำเป็นจะต้องใช้เวลาทำการรักษานานหลายวัน แล้วในตอนนี้มันก็เป็นช่วงงานเทศกาลซะด้วย ในงานนี้ทุกคนตั้งใจทำกันอย่างมาก ยังมีผู้คนและพวกเด็กๆมากมายที่รอให้ผมไปดูผลงานของพวกเค้า ดังนั้นในฐานะของผู้ปกครองอาณาจักรออร์ธรอสแล้ว.......

ชะ ชั้นจะปลอมตัวเป็นนายท่าน!! และไปเข้าร่วมงานต่างๆตามกำหนดการแทนเองค่ะ!! ถ้าหากเป็นเวทมายา.......

ผมดึงตัวมาเรียจังเข้ามากอดโดยไม่ปล่อยให้เธอพูดออกมาจนจบ

ขอบใจนะมาเรีย......แต่เธอไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก....

ไม่ได้.....งั้นเหรอคะ.....

เมื่อได้ยินคำพูดของผม มาเรียจังพูดออกมาด้วยท่าทางเศร้าๆ ดูเหมือนเธอจะคิดไปเองว่าผมไม่ไว้ใจให้เธอเป็นตัวแทน

อย่าเข้าใจผิดไปสิ ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจเธอหรอกนะ แต่การหลอกลวงผู้คนที่ผมรักน่ะ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรผมก็คงจะต้องมาเสียใจเองทีหลังแน่ๆ ก็เพราะงั้นแหละ มาเรีย เธอช่วยเป็นตัวแทนให้ผมที ไม่จำเป็นจะต้องใช้เวทมนต์มายาแปลงกายเป็นผมหรอก ตัวเธอในตอนนี้น่ะ เหมาะสมกับหน้าที่นี้เป็นที่สุดล่ะ....

ค่ะ.....ไว้ใจชั้นได้เลยค่ะ!!

หลังจากพูดจบ มาเรียจังก็ออกจากห้องใต้ดินเพื่อไปจัดการงานในส่วนของผมแทนในทันที ซึ่งมันก็เป็นที่แน่นอนว่า มาเรียจังจะต้องทำให้ผู้คนในเมืองพอใจในฐานะตัวแทนของผมได้อย่างแน่นอน

หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ยูเมะจังที่ถูกเรียกก็มาถึง แน่นอนว่าเธอนั้นตอบตกลงที่จะช่วยรูริโกะโดยไม่ลังเลในทันที พวกเราจึงเริ้มต้นทำการรักษาคำสาปภายในร่างกายของรูริโกะอย่างระมัดระวัง

แต่ถึงจะบอกว่าระมัดระวัง ทั้งรูริโกะที่เร่าร้อนเพราะฤทธิ์ของยาปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศ ทั้งยูเมะจังที่อ่อนโยนเสมอไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พวกเธอนั้นก็เย้ายวนจนผมไม่อาจจะอดทนได้ไหว เพราะเหตุนั้นเอง ตัวผมจึงได้กลายสัตว์ป่าที่หิวกระหายอยู่หลายต่อหลายครั้ง.....

และกว่าที่พวกเราจะสามารถขับเอามานาสีดำในร่างของรูริโกะออกไปได้หมด เวลาก็ผ่านไปนานถึง 3 วัน 3 คืน.....

7 ความคิดเห็น:

  1. ในที่สุดก็เขียนมาจนจบเล่มที่ 7 แล้ว
    เพราะงั้นตอนหน้าก็รอนานหน่อยนะ ฮา.....

    ตอบลบ
  2. ในที่สุดก็มากค้างกว่าเดิมอิง สนุกมากคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตอนนี้ยาวมาก ใช้เวลาเยอะ...
      ขอบคุณที่ติดตามครับ

      เอ....ยังค้างอีกเหรอ...ตอนต่อไปเป็นบท มากิแล้วครับ

      ลบ
    2. บทมากินี่ อยากให้กลับมารวมตัวกันไวๆ
      อย่ายืดหรือคลาดกันแบบเรื่องอื่นนะครับ

      ลบ
    3. ได้กลับมารวมตัวกันหลังจบบทที่ 4 เนี่ยแหละครับ
      ประมาณ 25-30 ตอน

      ลบ
  3. -*- ขอบคุณครับ รอตอนต่อไปนะครับ สู้ๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่ติดตามครับ
      ตอนต่อไป รอนานหน่อยเน้อ....

      ลบ