หลังช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเมืองเนอราเชียได้สำเร็จ
พวกเราก็เริ่มดำเนินแผนการกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่โดยรอบ แต่ถึงแม้พวกมันจะอ่อนแอลงมากเนื่องจากขาดหัวหน้า
พวกเราก็ยังคงต้องเสียเวลาไปหลายวันถึงจะสามารถกวาดล้างพวกมันได้ทั้งหมด
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เรียกได้ว่าย่ำแย่มาก
เพราะถึงแม้ผู้คนส่วนใหญ่จะสามารถหนีไปยังเมืองกัลน่าและป้อมปราการที่ 1 ได้ทัน แต่จำนวนของผู้ที่เสียชีวิตในครั้งนี้ก็ยังมีมากจนนับไม่หมด
ซึ่งหากดูจากรายงานของผู้สูญหายแล้ว จำนวนคร่าวๆที่พอจะประมาณได้ก็มีมากกว่าพันคน
ส่วนผู้คนที่รอดชีวิตมาได้นั้นถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นโชคดี
แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
ทั้งเมืองเนอราเชียทั้งหมู่บ้านต่างๆในแถบนี้แทบทั้งหมดถูกทำลายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นกว่าจะสามารถหากจะทำการซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้
ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี
จากเหตุผลข้างต้นทำให้ผมตัดสินใจที่จะยึดเอาอาณาเขตพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดมาเป็นของอาณาจักรออร์ธรอส
และถึงแม้จะกะทันหันไปซักหน่อย แต่กับการประกาศยึดครองพื้นที่ในครั้งนี้นั้น
พวกชาวบ้านที่ถูกเราช่วยชีวิตเอาไว้ก็ได้ให้การสนับสนุนกันอย่างล้นหลาม
สำหรับประชาชนแล้วนั้น
พวกเราที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือดูจะมีคุณค่าต่อจิตใจของพวกเขามากกว่าขุนนางของจักรวรรดิที่มักจะคิดแต่การหนีเพื่อเอาตัวรอด
ส่วนท่านหญิงโนเอลและผู้คนจากตระกูลเนอราเชียนั้น ผมได้ทำการยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เข้าร่วมกับพวกเราโดยไร้ข้อแม้
สำหรับพวกเค้าที่สูญเสียทั้งผู้นำตระกูลและเมืองที่สืบทอดต่อกันมานั้น
ต่อให้กลับไปอยู่กับจักรวรรดิก็คงไม่พ้นต้องถูกลงโทษ ถ้าร้ายแรงก็อาจจะขั้นถูกริบบรรดาศักดิ์รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดไป
ดังนั้นการบังคับให้พวกเค้าทอดทิ้งจักรวรรดิและเข้าร่วมกับพวกเราจึงเรียกได้ว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในขณะนี้
ส่วนพวกรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับตำแหน่งและการทำงานต่างๆของพวกเค้าผมได้ยกให้อาเรียจังเป็นคนจัดการดูแลเองทั้งหมด
และก็ไม่ใช่เพียงผู้คนเท่านั้นแต่ทั้งที่ดินและพื้นที่ภายในอาณาเขตทางแถบนี้ทั้งหมดเองก็เช่นเดียวกัน
ซึ่งการมอบอำนาจทั้งหมดให้กับอาเรียจังในครั้งนี้เองก็เพื่อเป็นการประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของตระกูลเมลริส
สำหรับตระกูลเมลริสนั้นพวกเค้าได้ให้คำสาบานและเข้าร่วมกับพวกเราตั้งแต่ในช่วงสงคราม
สำหรับผลงานของตระกูลเมลริสนั้นก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
ไม่ใช่แค่เพียงอาเรียจังเท่านั้น ทั้งพี่ชายและน้องสาว
ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของเธอต่างก็ลงทั้งแรงกายแรงใจเพื่อให้การสนับสนุนพวกเราอย่างเต็มที่
ดังนั้นจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะออกมาคัดค้านการมอบอำนาจให้กับอาเรียจังในครั้งนี้
ช่วงสายของวันที่ 30 เดือน 1 ศักราชเอลติซปีที่ 837
และในตอนนี้ผมก็กำลังอยู่ในระหว่างเดทกับยูเมะจังภายในเมืองอาเมริสซึ่งเป็นเมืองที่พวกเราพึ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่
เมืองอาเมริสนั้นถูกสร้างขึ้นมาทางตะวันห่างจากป้อมปราการที่ไปประมาณ 50 กิโลเมตร
เนื่องด้วยการซ่อมแซมบ้านเรือนตามหมู่บ้านและเมืองต่างที่เสียหายนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่สร้างเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อให้พวกชาวบ้านจำนวนมากที่อพยพหนีพวกมอนสเตอร์มาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีที่อยู่อาศัย
「ที่คาดผมอันนี้ ทำขึ้นมาเองเหรอคะ.....」
ยูเมะจังหยิบที่คาดผมอันหนึ่งขึ้นมาจากร้านค้าแผงรอย เนื่องจากในวันนี้เป็นวันแรกที่มีการเปิดตลาดขึ้นในเมืองอาเมริส
ผมจึงชวนยูเมะจังออกมาเดินดูสิ่งของต่างๆที่พวกชาวบ้านนำมาออกซื้อขายแลกเปลี่ยน
สำหรับตลาดที่เปิดขึ้นมานั้น เป็นตลาดที่เปิดให้ทุกคนในเมืองสามารถนำสิ่งของต่างๆมาวางขายได้โดยไม่มีการเก็บค่าเช่าที่และภาษี
และนี่ก็เป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นฟูสภาพชีวิตและจิตใจของผู้คนที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาเกือบเดือน
「คะ ค ค!? น น นู๋ ป เป็นคนทำเองค่ะ!!!」
เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของร้านแผงรอยแห่งนี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ชาวเมืองที่พึ่งจะเข้ามาอาศัยภายในเมืองแห่งนี้ดูค่อนข้างจะตื่นเต้นและมีอาการเกร็งเวลาได้พูดคุยกับพวกเรา
「น่ารักดีนะคะ ขอลองใส่ดูซักหน่อยได้มั๊ยคะ」
「ค ค ค ค่ะ!? ช ช เชิญลอง ด ได้เลย ค ค่ะ!」
หลังจากลองสวมที่คาดผมดูแล้ว ยูเมะจังก็หันมาหาผมพร้อมทั้งหมุนตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ถึงแม้มันจะเป็นเพียงที่คาดผมแกะสลักไม้ที่ทำขึ้นด้วยมือ เป็นเพียงของธรรมดาที่ไม่ได้มีความหรูหรา
แต่เมื่อกลายเป็นเครื่องประดับที่ถูกสวมใส่โดยยูเมะจังแล้ว มันก็กลายเป็นของที่ดูสวยงามเข้ากันกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเป็นอย่างดี
「เป็นไงบ้างคะ」
「เข้ากับสีผมของยูเมะจังมากเลยล่ะ ถึงแม้มองดูภายนอกจะธรรมดา
แต่ลวดลายที่แกะสลักนี่ทำออกมาน่าสนใจมาก สื่อถึงความรักและความตั้งใจของคนทำ
เอาเป็นว่าผมซื้อให้ละกัน ราคาเท่าไหร่งั้นเหรอ.....」
ผมตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสเรือนผมอันงดงามและนุ่มสลวยของยูเมะจัง
นี่ก็นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ดังนั้นหากยูเมะจังชอบล่ะก็ ผมก็อยากจะซื้อมันให้กับเธอ
「ค 5 ร รีล ค่ะ」
หลังจากจ่ายเงินให้กับเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของร้านแผงรอย
ยูเมะจังก็ควงแขนผมเดินไปยังร้านแผงรอยอื่นๆ สินค้าที่พวกชาวเมืองนำออกมาขายนั้น
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของทำมือที่ขึ้นมาอย่างง่ายๆ
หรือไม่ก็เป็นพวกผลไม้หรือของป่าที่สามารถหาได้จากบริเวณรอบๆเมือง
แต่ถึงแม้มันเทียบกับพวกเครื่องประดับหรือสินค้าจากญี่ปุ่นไม่ได้
มันก็ยังเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจ และการที่พวกเรามาเดินเที่ยวนั้น
มันก็ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับพวกชาวเมืองที่พึ่งจะมาเข้าร่วมเป็นประชาชนของอาณาจักรของพวกเราอีกด้วย
ผมและยูเมะจังเดินดูสินค้าต่างๆในตลาดไปจนถึงช่วงเวลาเที่ยง
หลังจากนั้นพวกเราก็ตัดสินใจไปหาที่พักเพื่อทานอาหารกลางวัน
ห่างจากตลาดที่อยู่ใจกลางเมืองไม่มาก พวกเราเดินมาถึงยังสวนสาธารณะ สำหรับสวนสาธารณะนั้น
นอกจากที่เมืองหลวงแล้วตามเมืองปกติจะไม่มีการสร้างขึ้น
ส่วนสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะผู้คนทั่วไปในโลกนี้จะใช้เวลาทั้งหมดในการทำงาน
ดังนั้นการที่พวกคนทั่วไปจะมาเที่ยวเล่น
หรือมาพักผ่อนกับครอบครัวจึงถือเป็นเรื่องแปลกใหม่
เพราะเหตุนั้นเองพวกเราจึงมักจะมาพักผ่อนอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการบอกให้ผู้คนในเมืองได้รับรู้ถึงประโยชน์ของสวนสาธารณะ
「รอยยิ้มของผู้คนเริ่มกลับมาแล้วนะคะ」
ยูเมะจังพูดขึ้นในขณะปูผ้าลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ถึงแม้จะยังมีผู้คนอีกมาก ที่ยังคงจมอยู่ในความเศร้าโศกของการสูญเสีย
แต่ในวันนี้พวกเราก็เริ่มจะได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่ได้ออกมาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้างแล้ว
「นั่นสินะ ก็ยูเมะจังพยายามตั้งขนาดนั้น
อีกไม่นานผู้คนในเมืองนี้ก็คงสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้ได้แล้วแหละ」

ผมพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนต้นขาอันเนียนนุ่มของยูเมะจัง ทั้งในช่วงที่พวกเรากำลังออกไปทำลายร้างพวกมอนสเตอร์
หรือแม้แต่ในช่วงที่เริ่มก่อสร้างเมืองแห่งนี้ ยูเมะจังก็ได้พยายามมากกว่าใครๆ
ทั้งการรักษาบาดแผลทางกาย การรักษาสภาพจิตใจ หรือแม้แต่การดูแลพวกเด็กๆที่ต้องสูญเสียพ่อแม่
ยูเมะจังก็เข้าไปให้การช่วยเหลือพวกเค้าเหล่านั้นโดยไม่ปริปากบ่น และนั่นก็ทำให้เธอเหมาะสมกับฉายาของเทพธิดาสีน้ำตาลแห่งความเมตตาที่ผู้คนพากันยกย่องเธอจริงๆ
อาหารกลางวันของพวกเราในวันนี้เป็นแซนด์วิชหมูทอดกับไข่ม้วนและสลัด ในช่วงที่ผ่านดูเหมือนว่ายูเมะจังจะแอบไปเรียนทำอาหารกับคาโอริจังมาด้วย
เพราะงั้นจึงทำให้ฝีมือทำอาหารของเธอพัฒนาขึ้นไปมาก
และการได้ทานแซนด์วิชแสนอร่อยที่ทำขึ้นจากคนที่รักนั้นก็ถือเป็นความสุขที่หาสิ่งใดมาเปรียบได้ยาก
「น...ช่วยรับนี่ด้วยค่ะ」
ภายในสวนสาธารณะนั้น นอกจากพวกเราที่มาพักทานอาหารกลางวันแล้ว
ก็ยังมีพวกเด็กๆหลายคนที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ด้วย
และหนึ่งในนั้นก็ได้เข้ามาหาพวกเราพร้อมกับยื่นดอกไม้ดอกหนึ่งให้กับยูเมะจัง
「ดอกเชลลี่สินะ ทั้งสวยแล้วก็ยังมีกลิ่นหอม
ขอบใจมากนะจ๊ะ」
ยูเมะจังรับดอกไม้เอาไว้พร้อมกลับลูบหัวเด็กสาวคนนั้นอย่างอ่อนโยน
ส่วนเด็กสาวที่ถูกลูบหัวก็ยิ้มหน้าบานตอบกลับมาและวิ่งกลับไปหาเพื่อนๆของเธอ ภาพที่เห็นนั้นมันช่างเป็นภาพที่แสนอบอุ่น
หลังจากนั้นก็ยังมีพวกเด็กๆอีกหลายคนที่นำของขวัญมามอบให้กับผมและยูเมะจังพร้อมกับคำขอบคุณที่ได้มอบที่อยู่อาศัยให้
ถึงแม้ของขวัญเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นสิ่งของที่มีค่า แต่สำหรับพวกเรานั้นเพียงแค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอ
เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าการที่พวกเราลงมือลงแรงไปนั้นมันเป็นเรื่องที่คุ้มค่า
「นายท่านคะ!!」
แต่แล้วในระหว่างที่พวกเรากำลังทานอาหารอย่างมีความสุขก็ดูเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
มาเรียจังวิ่งมาหาพวกเราด้วยสีหน้าร้อนรน
「ใจเย็นๆสิ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ มาเรียจัง」
「อัศวินค่ะ! พวกอัศวินจากเมืองท่ากัลน่านำกำลังมาปิดทางเข้าออกเมืองของเรา
พวกเค้ายังเรียกร้องให้ส่งตัวท่านหญิงอาเรียและคนจากตระกูลเนอราเชียกลับไปรับการลงโทษด้วยค่ะ」
หืม.....อัศวินงั้นเหรอ..........ไม่ใช่ว่าพวกอัศวินในเขตนี้ไปเข้าร่วมกับกองทัพของโรเดริกที่เมืองกูสตาฟหมดแล้วงั้นเหรอ.........
ช่วยอัพเดทแผนที่ด้วยได้ไหมคับ
ตอบลบแผนที่จะอัพเดททีเดียวหลังเขียนจบบทที่ 3 ครับ
ลบมีเพิ่มอีกหลายเมืองเลย
ขอบใจจร้า
ตอบลบขอบใจจร้า
ตอบลบ