ตอนที่ 27 เมืองอาเมริสและการเดท


 
หลังช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเมืองเนอราเชียได้สำเร็จ พวกเราก็เริ่มดำเนินแผนการกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในพื้นที่โดยรอบ แต่ถึงแม้พวกมันจะอ่อนแอลงมากเนื่องจากขาดหัวหน้า พวกเราก็ยังคงต้องเสียเวลาไปหลายวันถึงจะสามารถกวาดล้างพวกมันได้ทั้งหมด

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เรียกได้ว่าย่ำแย่มาก เพราะถึงแม้ผู้คนส่วนใหญ่จะสามารถหนีไปยังเมืองกัลน่าและป้อมปราการที่ 1 ได้ทัน แต่จำนวนของผู้ที่เสียชีวิตในครั้งนี้ก็ยังมีมากจนนับไม่หมด ซึ่งหากดูจากรายงานของผู้สูญหายแล้ว จำนวนคร่าวๆที่พอจะประมาณได้ก็มีมากกว่าพันคน

ส่วนผู้คนที่รอดชีวิตมาได้นั้นถึงแม้จะเรียกได้ว่าเป็นโชคดี แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ทั้งเมืองเนอราเชียทั้งหมู่บ้านต่างๆในแถบนี้แทบทั้งหมดถูกทำลายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นกว่าจะสามารถหากจะทำการซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี

จากเหตุผลข้างต้นทำให้ผมตัดสินใจที่จะยึดเอาอาณาเขตพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดมาเป็นของอาณาจักรออร์ธรอส

และถึงแม้จะกะทันหันไปซักหน่อย แต่กับการประกาศยึดครองพื้นที่ในครั้งนี้นั้น พวกชาวบ้านที่ถูกเราช่วยชีวิตเอาไว้ก็ได้ให้การสนับสนุนกันอย่างล้นหลาม สำหรับประชาชนแล้วนั้น พวกเราที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือดูจะมีคุณค่าต่อจิตใจของพวกเขามากกว่าขุนนางของจักรวรรดิที่มักจะคิดแต่การหนีเพื่อเอาตัวรอด

ส่วนท่านหญิงโนเอลและผู้คนจากตระกูลเนอราเชียนั้น ผมได้ทำการยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เข้าร่วมกับพวกเราโดยไร้ข้อแม้

สำหรับพวกเค้าที่สูญเสียทั้งผู้นำตระกูลและเมืองที่สืบทอดต่อกันมานั้น ต่อให้กลับไปอยู่กับจักรวรรดิก็คงไม่พ้นต้องถูกลงโทษ ถ้าร้ายแรงก็อาจจะขั้นถูกริบบรรดาศักดิ์รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดไป

ดังนั้นการบังคับให้พวกเค้าทอดทิ้งจักรวรรดิและเข้าร่วมกับพวกเราจึงเรียกได้ว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในขณะนี้

ส่วนพวกรายละเอียดปลีกย่อยเกี่ยวกับตำแหน่งและการทำงานต่างๆของพวกเค้าผมได้ยกให้อาเรียจังเป็นคนจัดการดูแลเองทั้งหมด และก็ไม่ใช่เพียงผู้คนเท่านั้นแต่ทั้งที่ดินและพื้นที่ภายในอาณาเขตทางแถบนี้ทั้งหมดเองก็เช่นเดียวกัน

ซึ่งการมอบอำนาจทั้งหมดให้กับอาเรียจังในครั้งนี้เองก็เพื่อเป็นการประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ถึงความสำคัญของตระกูลเมลริส สำหรับตระกูลเมลริสนั้นพวกเค้าได้ให้คำสาบานและเข้าร่วมกับพวกเราตั้งแต่ในช่วงสงคราม

สำหรับผลงานของตระกูลเมลริสนั้นก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เพียงอาเรียจังเท่านั้น ทั้งพี่ชายและน้องสาว ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ของเธอต่างก็ลงทั้งแรงกายแรงใจเพื่อให้การสนับสนุนพวกเราอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะออกมาคัดค้านการมอบอำนาจให้กับอาเรียจังในครั้งนี้

ช่วงสายของวันที่ 30 เดือน 1 ศักราชเอลติซปีที่ 837

และในตอนนี้ผมก็กำลังอยู่ในระหว่างเดทกับยูเมะจังภายในเมืองอาเมริสซึ่งเป็นเมืองที่พวกเราพึ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่ เมืองอาเมริสนั้นถูกสร้างขึ้นมาทางตะวันห่างจากป้อมปราการที่ไปประมาณ 50 กิโลเมตร

เนื่องด้วยการซ่อมแซมบ้านเรือนตามหมู่บ้านและเมืองต่างที่เสียหายนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและต้องใช้เวลานาน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่สร้างเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อให้พวกชาวบ้านจำนวนมากที่อพยพหนีพวกมอนสเตอร์มาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีที่อยู่อาศัย

ที่คาดผมอันนี้ ทำขึ้นมาเองเหรอคะ.....

ยูเมะจังหยิบที่คาดผมอันหนึ่งขึ้นมาจากร้านค้าแผงรอย เนื่องจากในวันนี้เป็นวันแรกที่มีการเปิดตลาดขึ้นในเมืองอาเมริส ผมจึงชวนยูเมะจังออกมาเดินดูสิ่งของต่างๆที่พวกชาวบ้านนำมาออกซื้อขายแลกเปลี่ยน

สำหรับตลาดที่เปิดขึ้นมานั้น เป็นตลาดที่เปิดให้ทุกคนในเมืองสามารถนำสิ่งของต่างๆมาวางขายได้โดยไม่มีการเก็บค่าเช่าที่และภาษี และนี่ก็เป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นฟูสภาพชีวิตและจิตใจของผู้คนที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาเกือบเดือน

คะ ค ค!? น น นู๋ ป เป็นคนทำเองค่ะ!!!

เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของร้านแผงรอยแห่งนี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชาวเมืองที่พึ่งจะเข้ามาอาศัยภายในเมืองแห่งนี้ดูค่อนข้างจะตื่นเต้นและมีอาการเกร็งเวลาได้พูดคุยกับพวกเรา

น่ารักดีนะคะ ขอลองใส่ดูซักหน่อยได้มั๊ยคะ

ค ค ค ค่ะ!? ช ช เชิญลอง ด ได้เลย ค ค่ะ!

หลังจากลองสวมที่คาดผมดูแล้ว ยูเมะจังก็หันมาหาผมพร้อมทั้งหมุนตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถึงแม้มันจะเป็นเพียงที่คาดผมแกะสลักไม้ที่ทำขึ้นด้วยมือ เป็นเพียงของธรรมดาที่ไม่ได้มีความหรูหรา แต่เมื่อกลายเป็นเครื่องประดับที่ถูกสวมใส่โดยยูเมะจังแล้ว มันก็กลายเป็นของที่ดูสวยงามเข้ากันกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเป็นอย่างดี

เป็นไงบ้างคะ

เข้ากับสีผมของยูเมะจังมากเลยล่ะ ถึงแม้มองดูภายนอกจะธรรมดา แต่ลวดลายที่แกะสลักนี่ทำออกมาน่าสนใจมาก สื่อถึงความรักและความตั้งใจของคนทำ เอาเป็นว่าผมซื้อให้ละกัน ราคาเท่าไหร่งั้นเหรอ.....

ผมตอบกลับไปพร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสเรือนผมอันงดงามและนุ่มสลวยของยูเมะจัง นี่ก็นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นหากยูเมะจังชอบล่ะก็ ผมก็อยากจะซื้อมันให้กับเธอ

ค 5 ร รีล ค่ะ

หลังจากจ่ายเงินให้กับเด็กสาวผู้เป็นเจ้าของร้านแผงรอย ยูเมะจังก็ควงแขนผมเดินไปยังร้านแผงรอยอื่นๆ สินค้าที่พวกชาวเมืองนำออกมาขายนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของทำมือที่ขึ้นมาอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็เป็นพวกผลไม้หรือของป่าที่สามารถหาได้จากบริเวณรอบๆเมือง

แต่ถึงแม้มันเทียบกับพวกเครื่องประดับหรือสินค้าจากญี่ปุ่นไม่ได้ มันก็ยังเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจ และการที่พวกเรามาเดินเที่ยวนั้น มันก็ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับพวกชาวเมืองที่พึ่งจะมาเข้าร่วมเป็นประชาชนของอาณาจักรของพวกเราอีกด้วย

ผมและยูเมะจังเดินดูสินค้าต่างๆในตลาดไปจนถึงช่วงเวลาเที่ยง หลังจากนั้นพวกเราก็ตัดสินใจไปหาที่พักเพื่อทานอาหารกลางวัน

ห่างจากตลาดที่อยู่ใจกลางเมืองไม่มาก พวกเราเดินมาถึงยังสวนสาธารณะ สำหรับสวนสาธารณะนั้น นอกจากที่เมืองหลวงแล้วตามเมืองปกติจะไม่มีการสร้างขึ้น ส่วนสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะผู้คนทั่วไปในโลกนี้จะใช้เวลาทั้งหมดในการทำงาน

ดังนั้นการที่พวกคนทั่วไปจะมาเที่ยวเล่น หรือมาพักผ่อนกับครอบครัวจึงถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ เพราะเหตุนั้นเองพวกเราจึงมักจะมาพักผ่อนอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการบอกให้ผู้คนในเมืองได้รับรู้ถึงประโยชน์ของสวนสาธารณะ

รอยยิ้มของผู้คนเริ่มกลับมาแล้วนะคะ

ยูเมะจังพูดขึ้นในขณะปูผ้าลงใต้ต้นไม้ใหญ่ ถึงแม้จะยังมีผู้คนอีกมาก ที่ยังคงจมอยู่ในความเศร้าโศกของการสูญเสีย แต่ในวันนี้พวกเราก็เริ่มจะได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่ได้ออกมาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนบ้างแล้ว

นั่นสินะ ก็ยูเมะจังพยายามตั้งขนาดนั้น อีกไม่นานผู้คนในเมืองนี้ก็คงสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้ได้แล้วแหละ


 
ผมพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนต้นขาอันเนียนนุ่มของยูเมะจัง ทั้งในช่วงที่พวกเรากำลังออกไปทำลายร้างพวกมอนสเตอร์ หรือแม้แต่ในช่วงที่เริ่มก่อสร้างเมืองแห่งนี้ ยูเมะจังก็ได้พยายามมากกว่าใครๆ

ทั้งการรักษาบาดแผลทางกาย การรักษาสภาพจิตใจ หรือแม้แต่การดูแลพวกเด็กๆที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ ยูเมะจังก็เข้าไปให้การช่วยเหลือพวกเค้าเหล่านั้นโดยไม่ปริปากบ่น และนั่นก็ทำให้เธอเหมาะสมกับฉายาของเทพธิดาสีน้ำตาลแห่งความเมตตาที่ผู้คนพากันยกย่องเธอจริงๆ

อาหารกลางวันของพวกเราในวันนี้เป็นแซนด์วิชหมูทอดกับไข่ม้วนและสลัด ในช่วงที่ผ่านดูเหมือนว่ายูเมะจังจะแอบไปเรียนทำอาหารกับคาโอริจังมาด้วย เพราะงั้นจึงทำให้ฝีมือทำอาหารของเธอพัฒนาขึ้นไปมาก

และการได้ทานแซนด์วิชแสนอร่อยที่ทำขึ้นจากคนที่รักนั้นก็ถือเป็นความสุขที่หาสิ่งใดมาเปรียบได้ยาก

น...ช่วยรับนี่ด้วยค่ะ

ภายในสวนสาธารณะนั้น นอกจากพวกเราที่มาพักทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ยังมีพวกเด็กๆหลายคนที่กำลังวิ่งเล่นกันอยู่ด้วย และหนึ่งในนั้นก็ได้เข้ามาหาพวกเราพร้อมกับยื่นดอกไม้ดอกหนึ่งให้กับยูเมะจัง

ดอกเชลลี่สินะ ทั้งสวยแล้วก็ยังมีกลิ่นหอม ขอบใจมากนะจ๊ะ

ยูเมะจังรับดอกไม้เอาไว้พร้อมกลับลูบหัวเด็กสาวคนนั้นอย่างอ่อนโยน ส่วนเด็กสาวที่ถูกลูบหัวก็ยิ้มหน้าบานตอบกลับมาและวิ่งกลับไปหาเพื่อนๆของเธอ ภาพที่เห็นนั้นมันช่างเป็นภาพที่แสนอบอุ่น

หลังจากนั้นก็ยังมีพวกเด็กๆอีกหลายคนที่นำของขวัญมามอบให้กับผมและยูเมะจังพร้อมกับคำขอบคุณที่ได้มอบที่อยู่อาศัยให้ ถึงแม้ของขวัญเหล่านั้นจะไม่ได้เป็นสิ่งของที่มีค่า แต่สำหรับพวกเรานั้นเพียงแค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอ เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกว่าการที่พวกเราลงมือลงแรงไปนั้นมันเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

นายท่านคะ!!

แต่แล้วในระหว่างที่พวกเรากำลังทานอาหารอย่างมีความสุขก็ดูเหมือนจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น มาเรียจังวิ่งมาหาพวกเราด้วยสีหน้าร้อนรน

ใจเย็นๆสิ เกิอะไรขึ้นงั้นเหรอ มาเรียจัง

อัศวินค่ะ! พวกอัศวินจากเมืองท่ากัลน่านำกำลังมาปิดทางเข้าออกเมืองของเรา พวกเค้ายังเรียกร้องให้ส่งตัวท่านหญิงอาเรียและคนจากตระกูลเนอราเชียกลับไปรับการลงโทษด้วยค่ะ

หืม.....อัศวินงั้นเหรอ..........ไม่ใช่ว่าพวกอัศวินในเขตนี้ไปเข้าร่วมกับกองทัพของโรเดริกที่เมืองกูสตาฟหมดแล้วงั้นเหรอ.........

4 ความคิดเห็น:

  1. ช่วยอัพเดทแผนที่ด้วยได้ไหมคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. แผนที่จะอัพเดททีเดียวหลังเขียนจบบทที่ 3 ครับ
      มีเพิ่มอีกหลายเมืองเลย

      ลบ