ตอนที่ 35 พิธีเต้นรำเฟรลาซ



-- มุมมองของทัตสึยะ --                       

หลังจากการโต้เถียงอย่างดุเดือดในการประชุมสภาพจอมเวท ผมและทุกๆคนก็ได้แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้นของสงครามในช่วงกลางดึกคืนนี้ แต่เนื่องจากในครั้งนี้มีชีวิตของชาวเมืองกูสตาฟเป็นประกัน จึงทำให้เวลาสำหรับการเตรียมตัวนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างจำกัดเป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ในเมื่อผมได้ตัดสินใจลงไปแล้วว่าจะประกาศสงคราม ผมก็จำเป็นจะต้องคว้าเอาชัยชนะชี้ขาดกลับมาให้กับอาณาจักรออร์ธรอสของพวกเราให้ได้ ถึงแม้ว่าชัยชนะในครั้งนี้อาจจะต้องสละชีวิตชาวเมืองกูสตาฟที่บริสุทธิไปบางส่วนก็ตามที

นายท่านคะ คนจากหน่วยข่าวกรองแจ้งเข้ามาว่า ได้ทำภารกิจช่วยเหลือท่านเคานต์โรเดริก พวกขุนนางที่ถูกคุมขัง รวมถึงเด็กสาวเผ่าโลลิเทีย สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังช่วงในระหว่างนำตัวส่งไปยังโรงบาลหลวงสเตรเชียค่ะ

ในระหว่างที่ผมกำลังเดินทางไปยังห้องรับห้อง เพื่อที่จะไปเจรจากับรองหัวหน้าคณะราชทูตแห่งจักรวรรดิเอลติซ มาเรียจังก็มารายงานภารกิจช่วยเหลือที่ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว โดยในครั้งนี้พวกหน่วยข่าวกรองนั้นได้นำอุปกรณ์เวทพรางตาไปสับเปลี่ยนเอาไว้ด้วย ดังนั้นพวกมันคงจะไม่รู้ตัวง่ายๆล่ะนะ

หลังจากลูบผมมาเรียจังเพื่อเป็นการขอบใจสำหรับรายงาน ผมก็ไปถึงห้องรับรองของรองหัวหน้าคณะราชทูตแห่งจักรวรรดิเอลติซ ยูมิน่า วอน การ์เซียส เด็กสาวที่สวยที่สุดในคณะราชทูต

แน่นอนว่าการเจรจากับเธอนั้นสำเร็จไปตามแผนที่วางเอาไว้ เธอได้แสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิเลคซิอุส และเลือกที่จะมาเข้ากับพวกเราในทันทีที่พวกเราเริ่มที่จะพูดคุยกัน

โดยเธอจะพิสูจน์ความภักดีด้วยการทำหน้าที่ เป็นคนนำสารการประกาศสงครามของอาณาจักรออร์ธรอสไปมอบให้กับผู้บัญชาการของฝ่ายศัตรูที่เมืองกูสตาฟด้วยตัวเธอเอง

แน่นอนว่าเธอไม่ได้จะทำเพียงแค่การไปส่งสารธรรมดาเท่านั้น แต่เธอยังสัญญาเอาไว้ด้วยว่า เธอจะนำชีวิตของบัญชาการของฝ่ายศัตรูมามอบให้กับผมในทันทีที่กองทัพของพวกเราบุกเข้าไปถึง

การที่ได้เด็กสาวน่ารักและมีความสามารถเช่นเธอมาเข้ากับฝ่ายเราเนี่ย เรียกได้ว่าเป็นผลดีกับพวกเรามาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เธอเรียกร้องเป็นการตอบแทนหลังเสร็จสิ้นภารกิจ.....


เที่ยงคืนของวันที่ 2 เดือน 1 ศักราชเอลติซปีที่ 838

หลังจากส่งยูมิน่าและพวกคนจากคณะราชทูตแห่งจักรวรรดิเอลติซทั้งหมดไปยังเมืองกูสตาฟเรียบร้อยแล้ว ผม ยูฟีน่า คริสติน่า คนอื่นๆรวมถึงเหล่าทหารทุกนายที่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามก็ได้มารวมตัวกันที่บริเวณลานพิธีซึ่งอยู่ด้านหน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์

ต่อหน้าเทวรูปของเทพธิดาทั้ง 6 ผู้รับใช้พระเจ้าโลลิเชีย เริ่มจากตัวผม ยูฟีน่าและคริสติน่าซึ่งอยู่แถวหน้าสุด พวกเรา 3 คนชักอาวุธประจำตัวขึ้นมาปักลงไปกับพื้นพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง หลังจากพวกเร 3 คนคุกเข่าลง จอมเวทที่อยู่ในแถวที่ 2 ด้านหลังผมก็ทำตามพร้อมกัน หลังจากจอมเวททุกคนคุกเข่าลงเรียบร้อยแล้ว พวกทหารทุกนายจึงได้ทำตามไปพร้อมกัน

เมื่อทุกคนในลานพิธีได้คุกเข่าลงเรียบร้อยแล้ว บริเวณทางเดินตรงกลางลานพิธีก็เริ่มเปิดอุปกรณ์เวทสำหรับให้แสงสว่างสีแดงฉานขึ้นพร้อมกันตลอดทางเดิน พรมสีดำสนิทที่มีการปีกลวดลายสีทองเปล่งประกายรับกับแสงจันทร์ทั้งสองดวงและแสงสีแดงจากอุปกรณ์เวทระยิบระยับสวยงาม

เหล่าหญิงสาวผู้เป็นตัวแทนแห่งอาณาจักรออร์ธรอส!!! จงแสดงตัวให้เทพธิดาแห่งความเกรี้ยวกราดได้เห็นถึงความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าผู้กล้าหาญแห่งอาณาจักรออร์ธรอส!!

เมื่อดัชเชสแอสทีเรียผู้เป็นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายพิธีการ ได้กล่าวเสียงดังผ่านอุปกรณ์เวทกระจายเสียงดังไปทั่วลานพิธี โอลิเวียและเหล่าเด็กสาวเผ่าโลลิเทียก็เริ่มหยิบเครื่องดนตรีหลายชิ้นขึ้นมาเพื่อบรรเลงเพลงด้วยทำนองที่ดูสงบแต่กลับให้ความรู้สึกทรงพลังอย่างน่าประหลาด

พร้อมๆกันแบบเสียงดนตรี เอลิเซ่ เหล่านักบวชหญิงและเด็กสาวอีกหลายคนที่เป็นตัวแทนแห่งอาณาจักรออร์ธรอสก็เดินเข้ามาที่ด้านหน้าของลานพิธีผ่านทางเดินกึ่งกลางที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟสีแดงฉานสองข้าง

และเมื่อเด็กสาวที่เป็นตัวแทนทั้งหมดเดินเลยตัวผมซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดขึ้นไปยังแท่นพิธีกันทุกคนแล้ว แท่นพิธีได้ก็เปล่งแสงสีแดงเรืองรองสุกสกาวออกมา จากนั้นเอลิเซ่และตัวแทนทั้งหมดก็ทำการแสดงความเคารพต่อเทพธิดาเฟรลาซ ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความเกรี้ยวกราด

จากนั้นนักบวชหญิงหลายคนก็ได้นำจอกศักดิ์สิทธิ์เข้ามาและได้รินน้ำศักดิ์สิทธิ์สีแดงใส่ลงไปก่อนจะนำไปแจกจ่ายให้ตัวแทนทั้งหมดดื่มลงไป โดยไอ้เจ้าน้ำศักดิ์สิทธิ์สีแดงที่ว่าเนี่ย มันก็คือน้ำที่มีการผสมตัวยาพิเศษลงไปเพื่อให้ร่างกายของผู้ที่ดื่มลงไปนั้นเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆออกมานั่นเอง....

และเมื่อทุกอย่างได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว เอลิเซ่และเหล่าเด็กสาวตัวแทนทั้งหมดก็ปลดเปลื้องชุดเสื้อคลุมสีแดงออกไปพร้อมๆกัน โดยภายใต้ชุดคลุมสีแดงนั้นก็เป็นชุดทูพีชสีแดงบางๆแนบเนื้อสำหรับพิธีเต้นรำ ที่มีการประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับทองคำฝันและอัญมณีสีแดงอย่างทับทิม

ด้วยแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากเวทีรวมกับแสงศักดิ์สิทธิ์สีแดงที่สว่างขึ้นมาจากร่างกายของเด็กสาวตัวแทนทั้งหมดนั้น มันทำให้เหล่าทหารและประชาชนด้านหลังที่ได้มาร่วมชมงานพิธีจากด้านนอกมองเข้ามาเห็นยังแท่นพิธีได้อย่างชัดเจนแม้ในคืนนี้มันจะเป็นค่ำคืนในเดือนมืดก็ตามที

เหล่าหญิงสาวผู้เป็นตัวแทนแห่งอาณาจักรออร์ธรอส!!! จงแสดงการร่ายรำที่แสนงดงามและดุดันเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรออร์ธรอส!! จงถวายจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งให้แก่เทพธิดาแห่งความเกรี้ยวกราด!!!

เมื่อดัชเชสแอสทีเรียกล่าวจบ เด็กสาวเผ่าโลลิเทียก็เริ่มบรรเลงทำนองใหม่ โดยในครั้งนี้เป็นทำนองเพลงสำหรับการริเริ่มของสงครามที่ดุดันและก้าวร้าว ด้วยความร้อนแรงของทำนองเพลงในครั้งนี้ทำให้จิตใจของผมและผู้คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ถึงความกดดันที่มหาศาล

ในเวลาเดียวกัน พิธีเต้นรำเฟรลาซก็ได้เริ่มต้นขึ้น เอลิเซ่และเหล่าเด็กสาวตัวแทนทั้งหมดต่างก็เริ่มขยับร่างกายไปตามทำนอง และพอถึงจังหวะหนึ่ง พวกเธอแต่ละคนก็เริ่มสร้างอาวุธมายาสีแดงขึ้นด้วยอุปกรณ์เวทและเริ่มกวัดแกว่งอาวุธไปตามนอง การร่ายรำของเหล่าเด็กสาวพร้อมกับกวัดแกว่งอาวุธไปพร้อมกันด้วยนั้น เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกอลังการเป็นอย่างมาก

โดยการเต้นรำเฟรลาซนั้นเป็นการเต้นรำเพื่อถวายให้แก่เทพธิดาเฟรลาซ ที่ผู้คนมักจะเรียกกันว่า เทพธิดาสีแดงหรือเทพธิดาแห่งความเกรี้ยวกราด ผู้ที่ได้ชื่อว่าชื่นชอบการใช้กำลังและความรุนแรงที่สุดในหมู่เทพธิดาทั้ง 6 ผู้รับใช้พระเจ้า

โดยไอ้เจ้าพิธีเต้นรำเฟรลาซเนี่ย ตามที่มีบันทึกเอาไว้ก็เป็นพิธีที่สมัยก่อนมักจะทำกันก่อนที่เหล่าทหารจะออกไปทำสงคราม แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่ของทั้ง 10 เผ่าพันธุ์จบลง พิธีกรรมต่างๆที่ทำถวายแด่เทพธิดาก็ได้ถูกลืมเลือนกันไปตามกาลเวลา และในปัจจุบันนั้นก็ไม่มีประเทศไหนคิดจะทำกันแล้ว

แต่สำหรับอาณาจักรออร์ธรอสของผม ซึ่งมีผู้คนมากมายเชื่อกันว่าเป็นอาณาจักรที่ได้รับพรปกป้องของเหล่าเทพธิดานั้น การทำพิธีศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ให้ประชาชนทุกคนได้เห็นจึงกลายเป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้อย่างเด็จขาด

และถึงจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ แต่ตัวผมก็ชื่นชอบการมองดูเหล่าเด็กสาวเต้นรำในชุดซีทรูวาบหวิวแบบนี้มากทีเดียว ก็นะ มันคงไม่มีผู้ชายคนไหนไม่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ ? ลองหันไปดูสิ พวกทหารที่อยู่ด้านหลังนี่จ้องมองสะโพกที่ส่ายไปมาของเอลิเซ่ภายใต้ผ้าสีแดงบางๆนั่นตาไม่กระพริบกันทุกคนเลย.....

ทหารกล้าแห่งอาณาจักรออร์ธรอส ผองเพื่อน ทหารพันธมิตร และเหล่าทหารอาสาทั้งหลาย!!! ไปเตะก้นไอ้พวกงี่เง่าที่จับคนบริสุทธิ์และพวกเด็กๆเป็นตัวประกันเลย!!!

หลังจากพิธีเต้นรำเฟรลาซจบลง ผมก็ลุกขึ้นและได้ประกาศก้องไปทั่วลานพิธี

「「「「「 โอ้!!! 」」」」」」

ตอบรับกับคำพูดของผม ทั้งพวกทหารและประชาชนที่อยู่รอบนอกต่างก็กู่ร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นกองทหารทั้งหมดที่จะไปบุกเมืองกูสตาฟก็เริ่มเคลื่อนที่ไปยังเรือเหาะที่จอดอย่างเป็นระเบียบ โดยในครั้งนี้พวกเราจะเดินทางไปด้วย เรือเหาะประจัญบาน 1 ลำ และเรือเหาะลำเลียงพลขนาดใหญ่อีก 3 ลำ

นายท่าน.....ดูแลตัวเองด้วยนะคะ

มาเรียจังเข้ามากอดผมและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ตั้งแต่วันแรกที่ผมได้ซื้อตัวเธอมานั้น นี่เรียกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกที่ผมจะไปยังสนามรบโดยที่ไม่ได้พามาเรียจังไปด้วย ซึ่งมันก็แน่นอนว่าผมก็รู้สึกเหงาไม่ต่างจากเธอเหมือนกัน

ช่วยป้องกันลูกของผม แล้วก็ทุกๆคนที่นี่ด้วยนะ มาเรีย

หลังจากกระซิบเบาๆที่ข้างหู ผมก็ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของมาเรียจังขึ้นมา จากนั้นก็ประทับริมฝีปากของผมลงที่ริมฝีปากของเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน

ท่านหญิงเวลน่า ช่วยทำหน้าที่ในส่วนของชั้นด้วยนะคะ

หลังจากแยกกับผม มาเรียจังก็เดินเข้ากอดเวลน่า ทั้งๆที่ในช่วงแรกทั้งสองคนชอบทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ในช่วงหลังพวกเธอกลับมาสนิทกันได้ถึงขนาดนี้เนี่ย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าลึกลับจริงๆ

ถะ ถ้ามาเรียอุส่าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็! ก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะคะ!!

เวลน่าที่ถูกกอดโดยไม่ได้ตั้งตัวตอบกลับไปอย่างร้อนรน เธอยังพยายามหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้ผมเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ น่ารักจริงๆเลยนะเนี่ย หลังจากนี้ผมคงต้องให้เธอช่วยรับความรักให้ส่วนของมาเรียจังแทนด้วยเยอะๆล่ะนะ หุหุ

หลังจากทุกๆคนได้ล่ำลากันเรียบร้อยแล้ว เรือเหาะประจัญบานปีกแห่งรุ่งอรุณและเรือเหาะลำเลียงขนาดใหญ่อีกทั้ง 3 ลำ ก็เริ่มต้นออกเดินทางไปยังเป้าหมาย



-- มุมมองของมากิ --                           

ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยจริงๆงั้นเหรอคะ ?

ชั้นถามสายลับของศาสนจักรกลับไปด้วยความสงสัย ทั้งๆที่คณะราชทูตแห่งจักรวรรดิเอลติซเข้าไปพบกับผู้ปกครองอาณาจักรออร์ธรอสตั้งแต่ช่วงเช้าเมื่อวานแล้ว แต่ทางอาณาจักรออร์ธรอสกลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลยเนี่ย เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยเลยจริงๆ

ค่ะ สายลับของพวกเราแทรกซึมอยู่ทั่วเมือง ไม่มีทางที่การเคลื่อนไหวของพวกจอมเวทจะเล็ดรอดสายตาไปได้แน่ๆค่ะ

แต่แล้วสายลับของศาสนจักรกลับก็ยังยืนหนักแน่น เจ้าพวกจอมเวทพวกนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ? ถ้าดูจากนิสัยของเจ้าพวกนั้นแล้ว ชั้นคิดว่าพวกมันจะต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือเจ้ากบฏโรเดริก และพวกชาวเมืองกบฏที่ถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อใช้ในการต่อรองแน่ๆ

เนื่องจากในตอนนี้โคโทริซังเดินทางกลับไปหาจักรพรรดิเพื่อรายงานสถานการณ์จึงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย โฮโนกะซังที่มาเป็นกำลังเสริมเองก็ไม่มีความสามารถด้านการสืบข่าวเสียด้วย นอกจากนั้นแล้วพวกลูกน้องของชั้นก็ไม่ยอมให้ชั้นจะขึ้นไปหาข่าวในตัวเมืองด้วยเองอีก ดังนั้นการจะหาข่าวสาวภายในเมืองจึงจำเป็นจะต้องพึ่งพาสายลับจากศาสนจักรเท่านั้น

ช่วยไม่ได้ ยังไงก็คงต้องรอจนกว่าโอกาสจะมาถึงสินะคะ....

รูริโกะซัง ซากุระโกะซัง ช่วยรออีกสักหน่อยนะคะ ชั้นจะต้องไปช่วยพวกเธอกลับมาจากไอ้เจ้าพวกจอมเวทชั่วร้ายพวกนั้นให้ได้แน่ๆ



-- Extra --

จะปล่อยพวกผู้กล้าที่บุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิทำตามใจต่อไปแบบนี้งั้นเหรอคะ?

เด็กสาวผู้มีผมสีเงินเป็นประกายงดงามพูดออกมา เธอกำลังมองดูผู้กล้า และพรรคพวกทั้งหลายที่หลบซ่อนอยู่ภายในโบราณสถานใต้เมืองสเตรเชียเตรียมการต่างๆเพื่อบุกโจมตีเมืองสเตรเชียอยู่เงียบๆ

ผู้กล้าพวกนี้ได้รับพรคุ้มครองจากเทพธิดาผู้ทรยศ ทำให้พวกเราไม่อาจจะมองเห็นโชคชะตาของพวกเธอได้ ดังนั้นการปลอมแปลงข้อมูลที่ได้รับ และคอยจับตาดูพวกเธอเอาไว้จึงเป็นทางเลือกที่พวกเราพี่น้องคิดว่าดีที่สุดแล้วในตอนนี้

เสียงหนึ่งที่มองไม่เห็นตอบกลับเด็กสาวไปราวกับว่า การเตรียมการบุกรุกเมืองสเตรเชียที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ถ้าทิ้งไว้นานล่ะก็ ผู้กล้าคนนั้นคงจะใช้พรผู้กล้าเพื่อสร้างกองทัพโยวไคจำนวนมากออกมาแน่ๆเลยนะคะ

เด็กสาวผู้มีผมสีเงินเป็นประกายยังคงกังวลใจ สำหรับเธอแล้วนั้น ทั้งพวกเพื่อนๆทั้งพวกลูกน้อง และชาวเมืองสเตรเชียทุกคนต่างก็มีความสำคัญ เธอจึงไม่อยากจะให้มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับพวกเค้า

ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง ทัตสึยะซามะจะต้องกลับช่วยทุกคนเอาไว้ได้ทันแน่ๆ แล้วอีกอย่างหนึ่ง....ชาวเมืองสเตรเชียน่ะ ไม่มีทางจะมาพ่ายแพ้กับของเล่นแบบนั้นแน่

เข้าใจแล้วล่ะค่ะ....

แม้เด็กสาวผู้มีผมสีเงินเป็นประกายจะยังไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงแบบนี้ได้ แต่ด้วยฐานะของเธอแล้วนั้น เธอก็ทำได้เพียงแค่ทำตามคำสั่ง และหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะสามารถจบลงด้วยดี

ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกคนก็จะไม่เป็นอะไรแน่นอน เพราะพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ทำให้พลังของท่านพี่เฟรลาซฟื้นคืนกลับมามากแล้ว ดังนั้นท่านพี่จะต้องคอยช่วยปกป้องทุกคนอย่างแน่นอน

ถึงแม้จะไม่พูดออกมา แต่ก็สามารถเข้าใจความรู้สึกภายในจิตใจของเด็กสาวได้เป็นอย่างดี เสียงที่มองไม่เห็นพูดออกมาด้วยรอยยิ้มงดงามที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้

2 ความคิดเห็น:

  1. งานนี้เหล่าเทพธิดามาเอี่ยวด้วยแล้ว ช่วงปลายของเรื่องนี้แสดงว่าต้องเจอระดับเทพมาสู้ด้วยแน่นอน

    ปล. หายไปนานหน่อยเพราะงานยุ่งครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่เป็นไรครับ 5555
      มีการเปิดเผยตัวเทพธิดาแล้ว -0-//
      ก็ใกล้จะจบบทที่ 4 แล้วนี่นะ....

      ลบ