ตอนที่ 41 ประกาศิตของเทพธิดา


ช่วงเช้าของวันที่ 3 เดือน 3 ศักราชเอลติซปีที่ 837               

สองสัปดาห์หลังจากที่เอลิเซ่และคณะทูตจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมเดินทางมาถึงยังเมืองสเตรเชีย ในวันนี้เป็นวันที่อากาศค่อนข้างจะอบอุ่นเนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ บรรดาดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้ทั่วทั้งเมืองกำลังเริ่มผลิบานทีละเล็กทีละน้อยอย่างงดงาม

บรรยากาศของเมืองสเตรเชียในตอนนี้เริ่มดูคึกคักแตกต่างไปจากตอนที่เริ่มสร้างเมืองใหม่ๆอย่างสมบูรณ์ ผู้คนภายในเมืองทั้งผู้ที่ย้ายเข้ามาใหม่และผู้ที่อยู่มานานแล้วต่างแสดงรอยยิ้มให้เห็นกันทั่วหน้า และการที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้มันก็พลอยทำให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นตามสภาพอากาศไปด้วย

พอพูดถึงคณะทูตของอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมแล้วก็คงต้องพูดถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก่อนสินะ

สำหรับเรื่องนี้นั้นผมได้ปรึกษากับเอลิเซ่และบรรดาเพื่อนๆของเธออยู่หลายวันจนได้ข้อสรุปต่างๆออกมามากมาย

อย่างแรกคือด้านการค้า ทางอาณาจักรออร์ธรอสจะทำการขยายเครือข่ายการค้าไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมมากยิ่งขึ้นด้วยเรือขนส่งเวทมนต์ความเร็วสูง โดยสิ้นค้าหลักๆนั้นจะเป็นอาหารแปรรูป เครื่องปรุง เครื่องเทศ เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ต่างๆที่จะเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน

และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทางอาณาจักรออร์ธรอสของเราก็จะทำการซื้อเอาสิ้นค้าต่างๆที่สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแปรรูปกลับมาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

โดยทางอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมจะเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างร้านค้า อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มการค้าของทางอาณาจักรออร์ธรอส และยังจะไม่มีการคิดภาษีกับพวกเค้าตลอดไป

อย่างที่สองก็จะเป็นการให้ความช่วยเหลือและแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านเทคโนโลยีในการผลิตอุปกรณ์เวทมนต์ต่างๆที่จำเป็นในการรักษาความปลอดภัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน เช่นโทรศัพท์ กล้องวงจรปิด เครื่องกรองน้ำ รวมทั้งอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นอื่นๆ

แน่นอนว่าสำหรับเทคโนโลยีทางด้านการทหารนั้นจะไม่มีแลกเปลี่ยนเพื่อความปลอดภัยของทางอาณาจักรออร์ธรอสเอง แต่ถึงอย่างนั้นทางอาณาจักรออร์ก็ยังส่งมอบ Beater และไอออน ฮาวล์ จำนวนเล็กน้อยให้เป็นของขวัญ

อย่างที่สามก็จะเป็นการให้ความช่วยเหลือในด้านการศึกษาสำหรับบุคลากรทั้งฝ่ายวิชาการและฝ่ายทหาร โดยทางอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมจะส่งบรรดาลูกหลานขุนนางเข้ามาเรียนรู้และศึกษาวิธีการทำงานต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นั้น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทางอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมได้ให้สัญญาว่าจะส่งกำลังทหาร เสบียงอาหาร รวมถึงอุปกรณ์จำเป็นต่างๆมาช่วยเหลือในทันทีหากอาณาจักรออร์ธรอสเกิดสงคราม

สุดท้ายคือเรื่องของการหาคู่ครองให้กับเอลิเซ่และท่านหญิงคนอื่นๆเพื่อที่จะได้เชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้นั้นเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสร้างรากฐานความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักรในอนาคต ผมจึงไม่อาจจะรับเอาตัวท่านหญิงทั้งหมดมาเป็นของผมคนเดียวได้.......

มันก็ไม่ใช่ว่าผมอยากจะได้ตัวพวกเธอทุกคนหรอกนะ ผมน่ะจริงๆแล้วก็แค่อยากจะให้เอลิเซ่ได้อยู่ใกล้ๆกับเพื่อนๆของเธอต่างหากล่ะ......

แหมๆ ทั้งๆที่พวกเราอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิแท้ๆก็ยังจะคิดเรื่องลามกออกมาได้ สมกับเป็นทัตสึยะซังเลยนะคะ

ฮารุกะจังที่ยืนอยู่ใกล้ๆผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เธอพูด พวกเราในตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ

แล้วทำไมถึงมาอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิงั้นเหรอ นั่นก็เพราะว่าในวันนี้ผมต้องการที่จะเริ่มดำเนินแผนการที่เตรียมเอาไว้แล้วน่ะสิ

สำหรับวิหารศักดิ์สิทธิแห่งนี้นั้นเป็นวิหารขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางและสัญลักษณ์ของศาสนจักรแห่งอาณาจักรออร์ธรอส ซึ่งภายในวิหารนั้นถูกสร้างขึ้นมาอย่างใหญ่โต หรูหรา งดงาม จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเลิศ

ผู้ที่ออกแบบวิหารแห่งนี้ได้ทำการเลียนแบบมาจากวิหารของบรรดาเทพทั้งหลายจากโลกของพวกเรา นอกจากตัววิหารที่ทั้งใหญ่โตและสวยงามแล้ว บริเวณใจกลางของวิหารนั้นผมได้สั่งให้สร้างลานพิธีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถรองรับคนได้นับหมื่นคนเอาไว้

ซึ่งในบริเวณลานพิธีขนาดใหญ่นั้นยังได้ทำการสร้างเทวรูปเสมือนจริงของพระเจ้าแห่งโลกใบนี้โลเลเชีย และเทพธิดาผู้รับใช้ทั้ง 6 อยู่อีกด้วย เรียกได้ว่าหากได้มาเข้ามาในที่แห่งนี้ซักครั้งล่ะก็ ไม่ว่าใครก็คงจะต้องตกใจและเชื่อมั่นใจความศักดิ์สิทธิของวิหารแห่งนี้เป็นแน่

ฮะ ฮะ นั่นสินะ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นะฮารุกะจัง ผมน่ะอดเรื่องอย่างว่ามาตั้งหลายชั่วโมงแล้วนะ.....

เอ่อ....ทัตสึยะซัง....ไม่ใช่ว่าพวกเราน่ะพึ่งจะ........

เมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น ยูเมะจังที่ยืนอยู่ข้างๆก็พยายามจะแย้งออกมา

ดิชั้นต้องขอโทษที่ให้รอซะนานนะคะ ทัตสึยะซามะ         

แต่ก่อนที่ยูเมะจังจะพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงอันแสนไพเราะของเด็กสาวดังขึ้นจากทางด้านหลัง และเมื่อผมหันไปก็พบกับเด็กสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา ซึ่งนอกจากเทพธิดาแล้วก็ยังมีสาวงามอีกหลายคนตามเธอมาที่ด้านหลังอีกด้วย

เอลิเซ่จับชายกระโปรงของเธอขึ้นและย่อตัวลงเพื่อทักทาย ในวันนี้เธอได้สวมใส่ชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ที่มีการประดับประดาตกแต่งลวดลายได้ดอกไม้ ซึ่งนั่นทำให้ผมสีบรอนซ์ทองของเธอดูสว่างสดใสและเปล่งประกายมากขึ้นไปอีก

ตามจริงแล้วเอลิเซ่นั้นก็เป็นเด็กสาวที่ไม่ว่าจะแต่งกายด้วยชุดแบบไหนก็ให้ความรู้สึกน่ารักน่ากอดอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นในวันนี้เธอก็ยังให้ความรู้สึกที่งดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นทำให้ผมต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการที่จะไม่จับเธอกดลงไปพื้นซะตอนนี้.....

เพราะงั้นนะ ถ้าหากเสร็จงานนี้เมื่อไหร่ล่ะก็ ผมจะรีบพาเธอไปหาความสุขร่วมกันในทันที ผมจะไม่ปล่อยให้เธอได้มีเวลาพักเลยคอยดูสิ.....

เธอสวยมากเลยนะเอลิเซ่ ทำเอาผมแทบจะอดใจรอให้ถึงเวลาจบงานไม่ไหวเลยล่ะ

ผมเดินเข้าใกล้ๆและกระซิบลงเบาๆที่ข้างหูของเอลิเซ่จากนั้นจึงค่อยๆประทับริมฝีปากลงที่แก้มข้างซ้ายของเธอเบาๆ

เมื่อถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน เอลิเซ่ก็แสดงอาการตื่นตกใจและก้าวถอยไปด้านหลัง ใบหน้าของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจน

ขะ ขอบ คุณ ค ค ค่ะ ดิชั้นเองก็ จะ จะ รอ ค ค่ะ......

เอลิเซ่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเขินอาย และเธอพยายามปิดบังใบหน้าที่แดงก่ำของเธอด้วยมือทั้งสองข้างอีกด้วย ช่างน่ารักสุดๆ......

ทั้งๆที่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้พวกเราได้ทำเรื่องน่าอายไปมากกว่านี้ตั้งเยอะแล้วแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังคงไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก ให้ตายสิ เธอจะทำตัวน่ารักแบบนี้ไปได้ถึงขนาดไหนกันนะ........

......อ่ะ......เอาเป็นว่าหยุดเรื่องรักใคร่ๆเอาไว้ก่อนดีกว่า....ผมพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อระงับอารมณ์ของผมเอาไว้และหันมาคิดถึงแผนการที่เตรียมเอาไว้

ซึ่งไอ้แผนการที่ว่านั้นผมได้เรียกมันว่าแผนการประกาศิตเทพธิดาแล้วมันคืออะไรน่ะเหรอ นั่นสินะจะให้อธิบายมันก็ค่อนข้างจะยากทีเดียว เอาเป็นว่ารอดูของจริงกันเลยคงจะดีกว่า........

เมื่อถึงเวลาผมก็ควงฮารุกะจังและยูเมะจังและเดินไปยังลานพิธีโดยมีเอลิเซ่และเพื่อนๆกลุ่มนักบวชของเธอเดินนำอยู่ด้านหน้า อ่ะพอพูดถึงกลุ่มนักบวชแล้วก็คงต้องอธิบายกันซักนิดสินะ

ในตอนนี้น่ะ ผมได้ทำการแต่งตั้งให้เอลิเซ่และท่านหญิงไอริสรับตำแหน่งเป็นคาร์ดินัล ส่วนเพื่อนเธออีกสองคนที่มีฐานะรองลงมาก็ให้รับตำแหน่งเป็นอาร์ชบิชอบ

นอกจากนั้นก็ยังมีข้ารับใช้ของพวกเธอรวมถึงผู้คนภายในเมืองสเตรเชียอีกหลายคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพิธีต่างๆเข้ามารับตำแหน่งเป็นบิชอบและตำแหน่งผู้ช่วยนักบวชต่างๆ เรียกได้ว่าทำการปรับเปลี่ยนไปจากแผนการที่พวกศาสนจักรได้เตรียมเอาไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว แต่นี่น่ะมันแค่การเริ่มต้นเท่านั้น.....

เมื่อมาถึงลานพิธี ที่ตรงนั้นก็มีผู้คนมากมายได้รอพวกเราอยู่แล้ว ทั้งบรรดาจอมเวท ขุนนาง อัศวิน และประชาชนจำนวนมากต่างมาเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนเข้าแถวเรียงตามลำดับฐานะอย่างสวยงามตามรูปแบบที่งานพิธีควรจะเป็น

ในวันนี้จะเป็นวันเปิดตัวของบรรดานักบวชและการประกาศจัดตั้งศาสนจักรแห่งออร์ธรอส ซึ่งแน่นอนว่าทางเราได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมอย่างถูกต้อง ถึงแม้จะไม่ได้รับการเห็นชอบจากสภานักบวชก็ตามที......เอาเถอะกับเรื่องนั้นน่ะผมได้เตรียมเอาไว้แล้ว เพราะงั้นถึงแม้พวกนั้นจะไม่พอใจก็ยังจำเป็นจะต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่องานพิธีเริ่มขึ้น ทุกคนก็เริ่มทำการคุกเข่าลงกับพื้น ซึ่งรวมทั้งผมและพวกยูเมะจังด้วย ส่วนคนที่ยังยืนอยู่ได้นั้นจะมีเพียงนักบวชที่มีตำแหน่งสูงกว่าอาร์ชบิชอบขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะพวกเธอนั้นจะเป็นตัวแทนของเหล่ามนุษย์ในการสักการะทวยเทพรวมทั้งการถวายเครื่องเซ่น

และในจังหวะที่เอลิเซ่กำลังจะถวายเครื่องเซ่น ผมก็ทำการส่งสัญญาณไปยังโอลิเวียที่กำลังซ่อนตัวด้วยเวทมนต์มายาบริเวณด้านหลังเทวรูปในทันที

เมื่อโอลิเวียได้รับสำคัญ เธอก็สั่งให้จอมเวทที่ซ่อนตัวอยู่เริ่มทำงาน โดยเวทมนต์บทแรกที่ถูกร่ายออกมานั้นมาจากเด็กสาวที่ชื่อ ชิราฟุยุ ยูกิเนะ ซึ่งนั่นก็คือเวทหลับของธาตุน้ำWater Magic: Sleeping Mist !!

ส่วนเป้าหมายของเวทนั้นก็คือเอลิเซ่เด็กสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา เมื่อถูกเวทมนต์เข้าไปเอลิเซ่ก็หลับและทรุดลงกับพื้นในทันที และนั่นทำให้ผู้คนที่อยู่ในงานพิธีแตกตื่นตกใจกันเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาในเวลาแบบนี้

ท่านหญิงเอลิเซ่ เป็นอะไรไปคะ.....

ท่านหญิงไอริสที่ยืนอยู่ใกล้รีบวางเครื่องเซ่นลงและเข้าไปหาเอลิเซ่เพื่อดูอาการของเธอในทันที

เคี๊ยะ!!!??                              
                                        
แต่ในจังหวะที่เธอกำลังจะแตะตัวเอลิเซ่เธอก็ถูกผลักกระเด็นออกไปด้วยพลังบางอย่าง

โดยไอ้พลังบางอย่างที่ว่านั้นก็คือเวทมนต์ Hard Barrier ของเด็กสาวที่ชื่อ ทาคิซาวะ ยาโยย ซึ่งเป็นเวทมนต์ที่จะป้องกันเป้าหมายจากการสัมผัสทางกายภาพทุกๆอย่าง

แต่มันก็ยังไม่จบแค่นี้ เหล่าจอมเวทเผ่าโลลิเทียเริ่มใช้เวทมายาในการสร้างประกายแสงระยิบระยะไปทั่วลานพิธี จากนั้นพวกเธอก็เริ่มสร้างบรรยากาศน่าหลงดึงดูดใจให้กับลานพิธีไปด้วยเวทมนลวงตารูปแบบต่างๆ

พวกเด็กสาวที่ใช้เวทลมได้ก็เริ่มสร้างสายลมอุ่นๆครอบครัวไปทั่วบริเวณ จากนั้นก็พวกเธอก็ยังควบคุมลมให้พัดพาอากลีบดอกไม้จำนวนมากที่ได้เตรียมเอาไว้แล้วเข้ามาภายในลานพิธีพร้อมทั้งควบคุมเอาไว้อย่างสวยงามราวกับการเต้นรำ

ต่อจากนั้นพวกเด็กสาวที่ใช้เวทควบคุมพืชได้ก็เริ่มทำการเร่งการเจริญเติบโตของเมล็ดดอกไม้ที่ถูกซ่อนเอาไว้ตามร่องต่างๆใต้แผ่นหิน และนั่นก็ทำให้เกิดสวนดอกไม้ที่สวยงามมากมายขึ้นมารอบบริเวณ

กับปรากฏการที่แปลกประหลาดอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้ผู้คนในลานพิธีตอนนี้เกิดอาการตื่นตระหนกกันอย่างทั่วหน้า พวกเค้าหลายคนเริ่มพากันเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นยืนมา ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะผมและพวกจอมเวทที่อยู่ด้านหน้ายังคงคุกเข่ากันอย่างนิ่งเงียบอยู่ล่ะมั้ง

นะ นะ นั่นนนน ดูนั่นนนน!!!!

และในที่สุดก็ถึงเวลาตัวเอกของงานได้ออกโรง เอลิเซ่ที่ถูกทำให้หลับไปก่อนหน้านี้ในที่สุดก็ได้ลุกขึ้นยืน ซึ่งการที่เธอลุกขึ้นมายืนได้ทั้งๆที่ยังหลับนั้นก็เป็นเพราะเวทมนต์ Marionette ของนานามิจังนั่นเอง

นั่นมันท่านคาร์ดินัลนี่!!! เธอกำลังลอยขึ้นจากพื้น!! เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ย

แต่เธอไม่ได้เพียงแค่ยืนขึ้นมาเพียงเท่านั้น ขาทั้งสองข้างของเอลิเซ่ยังค่อยๆลอยขึ้นจากพื้น ร่างกายของเธอเริ่มส่องแสงระยิบระยับออกมาอย่างสวยงาม

ปีกแห่งแสง!! ที่ด้านหลังของเธอมีปีกแห่งแสง และยังวงแหวนนั่นอีก!!

พร้อมทั้งมีวงแหวนแห่งแสงขนาดใหญ่ปรากฏที่ด้านบน นอกจากนั้นก็ยังมีปีกแห่งแสงถึง 6 ปีกสยายออกมาจากด้านหลังของเธอ ซึ่งทั้งหมดนั่นถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนต์มายาของเผ่าโลลิเทีย

เอลิเซ่ในตอนนี้ได้กลายเป็นเทพธิดาที่แท้จริงไปแล้ว......หรือไม่......อย่างน้อยผมก็อยากจะให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานในวันนี้คิดแบบนั้นล่ะนะ......

9 ความคิดเห็น:

  1. แผนชั่วร้าย+แผนการแหกตาคนดูครั้งใหญ่ของบักทัต

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สั่นคลอนทั้งหัวใจของผู้คนและรากฐานของศาสนจักรไปในคราวเดัยว -0-//

      ลบ
  2. อันนี้คือ ให้คนคิดว่า เอลิเซ่เป็นเทพธิดา หรือ คนทรงของเทพธิดาครับ ><

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เป็นร่างทรงของเทพธิดาครับ
      ปกติแล้วในโลกนี้เทพจะไม่ติดต่อกับมนุษย์โดยตรง
      เพราะงั้นก็ต้องผ่านร่างทรงของเทพเท่านั้น
      ในอดีตนั้นมีเหตุการแบบนี้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้งซึงจะถูกเล่าถึงในตอนต่อไป

      ลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. ผู้หญิงผมเงินนั่นเป็นเอริจริงๆหรอเนี่ย หลบไปทำใจแปป TT

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รอติดตามกันต่อไปนะครับ แต่เรื่องนี้กว่าจะเฉลยก็อีกนาน......

      ลบ