ตอนที่ 45 สู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัม


ช่วงบ่ายของวันที่ 3 เดือน 4 ศักราชเอลติซปีที่ 837              
                                                              
หลังจากได้รับข้อความเรื่องที่กองทัพผสมของอัศวินศักดิ์สิทธิแห่งศาสนจักรและจักรวรรดิเอลติซกว่า 50,000 นายกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองแอสคาลซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมจากเอริจัง

ผมก็ยกเลิกการเดทกับพวกมายุจังในวันนี้และมุ่งหน้าไปยังฐานทัพใหญ่ของกองทหารอาณาจักรออร์ธรอส พร้อมทั้งเรียกตัวพวกจอมเวทที่และกองทหารที่สามารถเคลื่อนพลได้ให้มารวมตัวกันในทันที

สำหรับที่ตั้งฐานทัพหลักของกองทหารอาณาจักรออร์ธรอสนั้น อยู่ห่างจากเมืองหลวงสเตรเชียออกไปในป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร โดยที่ยุทโธปกรณ์ทุกอย่างของกองทัพถูกเก็บเอาไว้ในชั้นใต้ดิน ดังนั้นไม่ว่าจะมีใครผ่านมาพบเข้าก็คงคิดว่าเป็นอาคารที่ตั้งของกองทหารทั่วไป

หลังสั่งระดมพลเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ผมกำลังนั่งรออยู่ในห้องประชุมพร้อมทั้งอ่านรายงานทั้งหมดที่เอริจังได้รับมาจากหน่วยข่าวกรอง และคนที่เข้ามายังห้องประชุมเป็นกลุ่มแรกนั้นก็คือยูเมะจัง เอลิเซ่จัง และไอริสจัง

ไปรับเอลิเซ่จังกับไอริสจังมาให้แล้วนะคะ ว่าแต่เรียกตัวด่วนแถมยังให้มารวมกันที่ฐานทัพเนี่ย มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นหรือคะทัตสึยะซัง

เนื่องจากเอลิเซ่จังและไอริสนั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับด้านการทหาร และพวกเธอยังไม่ได้รับสิทธิให้เข้าออกสถานที่ของกองทัพ ผมจึงสั่งให้ยูเมะจังช่วยไปพาตัวพวกเธอมาที่นี่ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองจึงทำให้ยูเมะจังถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย

เกิดเรื่องขึ้นกับเมืองแอสคาลของอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมน่ะ เรื่องมันก็.....

เนื่องจากเรื่องราวมันค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะรอให้ทุกคนมาถึงพร้อมกันหมดเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ในระหว่างรอผมก็สรุปเรื่องราวคร่าวๆให้กับพวกเธอฟัง

ท ทหาร หะ ห้าหมื่นนาย ห เหรอคะ.....

เอลิเซ่จังที่ได้ยินเรื่องราวที่ผมล่าออกมานั้นถึงกับหน้าซีดไปด้วยความหวาดกลัว นั่นก็เพราะถึงแม้พวกเธอจะกลายเป็นนักบวชระดับสูงแถมยังชีชีวิตอยู่สุขสบายในอาณาจักรอาร์ธรอส แต่ครอบครัวรวมถึงเพื่อนๆของพวกเธอนั้นกำลังจะต้องต่อสู้กับทหารมากกว่า 50,000 นาย

และมันก็ไม่ใช่เพียงพวกเธอเท่านั้น แต่ในเมืองแอสคาลในตอนนี้ยังมีพวกพ่อค้าและคนรู้จักของผมอีกหลายคนที่ไปติดต่อทำธุรกิจที่นั่น เพราะงั้นผมจึงไม่มีทางปล่อยให้พวกเค้าตายทั้งๆที่สามารถไปช่วยได้ทันอย่างแน่นอน

ทะ ทัตสึยะซามะ ถะ ถึงมันจะเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ตะ แต่ ดะ ได้โปรดเถอะค่ะ ชะ ช่วย ช่วยทุกๆคนที่แอสคาล....

ไอริสจังถึงกับคุกเข่าลงและก้มหัวข้อร้องผมด้วยน้ำตา.....เฮ้อ...เธอเป็นถึงคาร์ดินัลแล้วนะ มาคุกเข่าและก้มหัวต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่เทพแบบนี้ได้ยังไงกัน....

ผมเข้าใจนะว่าเรื่องราวมันค่อนข้างจะกะทันหัน แต่ผมจะไม่อยู่เฉยแล้วปล่อยให้ครอบครัวและเพื่อนๆของคนที่ผมรักต้องตายหรอก เพราะงั้นพวกเธอก็ใจเย็นๆกันก่อนนะ

ผมพยายามปลอบพวกเธอ จนในที่สุดพวกเธอก็สงบลง ซึ่งในตอนนั้นเองทุกคนที่เข้าร่วมกับภารกิจในครั้งนี้ก็ทางมาถึงห้องประชุมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับแผนการก็ตามที่ผมว่าไป ภารกิจในครั้งนี้พวกเราจะเน้นไปที่การช่วยเหลือและอพยพผู้คนมายังอาณาจักรออร์ธรอส และผมจะไม่ใช้อาวุธหนักเข้าทำลายล้างศัตรู แต่จะหาทางเจรจาหรือถ่วงเวลาแทน

ผมอธิบายแผนการของภารกิจในครั้งนี้ให้กับทุกคนได้ฟัง เพราะถึงแม้จะเป็นศัตรู แต่พวกเค้าก็เป็นเพียงทหารที่จำเป็นต้องทำตามคำสั่ง ดังนั้นถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆล่ะก็ ผมก็ไม่อยากจะที่พรากชีวิตพวกเค้าไปโดยไร้เหตุผล

เหตุผลอีกอย่างก็คือเรื่องราวต่อจากนี้ เพราะถึงแม้พวกเราจะไปช่วยอพยพผู้คน แต่การรบในครั้งนี้ก็จะเป็นเสมือนกับการประกาศสงครามกับจักรวรรดิเอลติซอย่างเป็นทางการ ดังนั้นผมจึงยังไม่อยากจะให้ศัตรูรู้ถึงกำลังรบรวมถึงขอบเขตอำนาจของยุทโธปกรณ์ต่างๆที่เรามี

เพราะหากศัตรูสามารถคิดหรือหาทางสร้างอุปกรณ์ขึ้นมาป้องกันได้ล่ะก็ การรบครั้งใหญ่ในอนาคตของพวกเราอาจจะทำได้ลำบาก ดังนั้นไพ่ต่างๆที่เรามีจึงต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับให้มากที่สุด

「「「รับทราบ!!」」」

หัวหน้ากองทหารของหน่วยต่างๆที่เข้าร่วมประชุมตอบรับออกมาพร้อมกัน จากนั้นพวกเค้าจึงรีบกลับไปอธิบายให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาได้ฟัง รวมถึงเริ่มทำแจกจ่ายอุปกรณ์และของจำเป็นต่างๆของกองทัพที่โดยทันที

สำหรับกองทหารที่จะเข้าร่วมกับภารกิจช่วยเหลือและอพยพผู้คนจากเมืองแอสคาลในครั้งนี้ก็จะเป็นกองทหารที่ไม่สังกัดเมืองใดๆ ซึ่งก็คือกองร้อยทหารพรานที่หนึ่งและสองจำนวนรวม 600 นาย

โดยในครั้งนี้ผมได้สั่งให้ทั้งกองร้อยทหารพรานทั้ง 600 นายนำผ้าคลุมกันไฟที่ผมสร้างขึ้นด้วยสกิล Create Jacket LV9 ไปด้วย ซึ่งเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะข้อมูลของศัตรูที่ผมได้รับมาจากหน่วยข่าวกรอง

กองทัพของศัตรูในครั้งนี้นั้นมีทั้งกองอัศวินไวเวิร์นและหน่วยจอมเวท พวกไวเวิร์นที่ศัตรูใช้สามารถยิงลูกไฟออกมาได้ หน่วยจอมเวทเองก็ดูเหมือนจะใช้เวทไฟเป็นหลัก ดังนั้นผมจึงได้สั่งให้พวกทหารทุกนายเตรียมพร้อมกันเอาไว้

นอกจากนั้นก็ยังมีเป็นหน่วยอื่นๆที่ผมสามารถสั่งการได้โดยตรง หน่วยแรกก็คือหน่วยเมดติดอาวุธของมาเรียและคูเซียจำนวน 100 คน ตามจริงแล้วหน่วยเมดติดอาวุธมีมากกว่านี้มาก แต่เนื่องจากผมไม่ละสามารถทิ้งการป้องกันคฤหาสน์ไปได้จึงพาไปเพียงแค่ 100 คนเท่านั้น
                                                              
สำหรับชุดที่พวกเมดใส่นั้นทุกชุดถูกสร้างขึ้นมาด้วยสกิล Create Robe LV9 ของฮารุกะจัง ดังนั้นเรื่องของความทนทานและพลังป้องกันเวทจึงอยู่ในระดับสุดยอด

นอกจากนั้นพวกเธอก็ยังมีอาวุธรุ่นใหม่อย่าง BeaterII ทีมีการเพิ่มระยะยิงหวังผลมากกว่ารุ่นแรก หรือ BeaterAP700 ที่มีตัวลำกล้องยาวเป็นพิเศษสำหรับการซุ่มยิง แถมยังสามารถเปลี่ยนไปใช้กระสุนเจาะเกราะได้ และพวกเธอทุกคนก็ยังมีแว่นตาที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับมองในเวลากลางคืนอีกด้วย

หน่วยต่อมาก็คือกองอัศวินที่ 3 ของสเตล่า ซูซี่และโรน่า 200นาย และกองอัศวินราชองครักษ์ของไวซ์เคาน์เตสเอลิสแม่ของอาเรียจังอีก 100 นาย

พวกกองอัศวินนั้นมีอาวุธและชุดเกราะที่ดีที่สุดอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมการเพิ่มเติมมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังให้พวกเธอนำผ้าคลุมกันไฟติดไปด้วยเผื่อสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน

สุดท้ายก็คือหน่วยจอมเวทแห่งออร์ธรอส ซึ่งเป็นคนจากเผ่าผีเสื้อดำของโอลิเวียจำนวน 20 คน ปาร์ตี้ของผม 4 คน ปาร์ตี้ของยูเมะจัง 4 คน และปาร์ตี้ของมายุจังอีก 4 คน รวมทั้งหมดก็ 32 คน

ปาร์ตี้ของผมนั้นจะเน้นไปทางด้านความรวดเร็วเพื่อปั่นป่วนและหลอกล่อกองทัพของศัตรู โดยสมาชิกของปาร์ตี้ก็จะมี ฮารุกะจัง คาโอริจังและนานามิจัง

ต่อมาก็คือปาร์ตี้ของยูเมะจัง โดยสมาชิกปาร์ตี้ของยูเมะจังก็จะมี มิฮารุจังที่มีสกิลค้นหาและเวทรักษา ฟูมิจังที่มีเวทแสง และชิโอริจังที่มีเวทลม พวกเธอทุกคนล้วนแล้วแต่มีเวทรักษาที่ทรงพลัง ดังนั้นผมจึงมอบหมายหน้าที่อพยพและรักษาบาดแผลให้กับพวกเธอ

ตามปกติแล้วทั้งฟูมิจังและชิโอริจังนั้นจะอยู่ปาร์ตี้ของเจ้าอากิโอะ แต่ในตอนนี้เจ้าอากิโอะกำลังไปเล่นสนุกอยู่ที่ทวีปของพวกเอล์ฟ พวกเธอทั้งสองคนจึงว่างงาน ดังนั้นผมจึงขอให้พวกเธอมาช่วยเหลือในภารกิจอพยพครั้งนี้

สุดท้ายก็คือสมาชิกปาร์ตี้ของมายุจัง ซึ่งก็จะมีชิโฮะจังที่ใช้เวทลม และฝาแฝดสาวเวทหินอาโอยจังและอากาเนะจัง ทั้งเวทลม เวทหิน และโกเลมของพวกเธอนั้นล้วนเป็นเวทที่เหมาะแก่การโจมตีเป็นวงกว้าง ดังนั้นปาร์ตี้ของมายุจังจะเป็นกำลังหลักในการทำลายกองกำลังของศัตรู

.....แค่ 1,032 งั้นเหรอ.....น้อยกว่าที่คิดอีกแฮะ.....คงต้องให้ชิซึกุเร่งเตรียมกองทัพเรือเอาไว้แล้วล่ะมั้งเนี่ย.....

เมื่อนับรวมทั้งหมดแล้ว พวกเราก็ยังมีกำลังทหารเพียงแค่ 1,032 นาย หรือต่อให้นับรวมกองทหารของฝ่ายราชวงศ์แอสกรัมที่น่าจะกำลังต่อสู้อยู่ในขณะนี้ก็ยังคงมีกำลังทหารไม่ถึงหมื่นนาย

ดังนั้นการรบในครั้งนี้คงจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่หนักเอาเรื่อง......แต่ในขณะที่ผมกำลังมองดูพวกทหารและคิดถึงเรื่องนี้อยู่......ผมก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของเด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากด้านหลัง

ดูเหมือนจะนับผิดไปหน่อยนะคะ พวกเราน่ะไม่ได้มีแค่ 1,032 แต่พวกเราน่ะมีกันตั้ง 1,154 ต่างหากล่ะคะ ทัตสึยะซามะ

เจ้าของเสียงอันไพรเราะนั้นก็คือเด็กสาวโลลิผมบรอนซ์ทองผู้มีดวงตาสีแดงเข้มเป็นประกายงดงามดุจอัญมณี

เอลจัง......ไม่สิเอลิซาเบธซัง ที่พูดแบบนั้นน่ะ หมายความว่าพวกเธอเองก็จะไปด้วย ไม่สิ ก่อนหน้านั้นน่ะ ทำไมพวกเธอถึงได้รู้เรื่องนี้ได้ล่ะ.....

ผมพูดพร้อมกับมองดูผู้คนมากมายที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ทั้งเผ่าแวมไพร์ เผ่าศาสตรา และเผ่าดาร์คเอล์ฟ พวกเค้าต่างแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมการรบกับพวกเราในครั้งนี้

โดยเอลิซาเบธซังนั้นหากมองเพียงภายนอกเธอก็จะเป็นเพียงเด็กสาวโลลิที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี แต่ความจริงแล้วเธอนั้นมีอายุมากกว่า 2000 ปีเสียอีก ใช่แล้วล่ะเด็กสาวโลลิตรงหน้าผมคนนี้เป็นทั้งเจ้าหญิงและก็ยังเป็นราชทูตคนของเผ่าแวมไพร์แห่งวาลาร์ดนั่นเอง

อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิคะทัตสึยะซามะ พวกเราน่ะเป็นพวกพ้อง ที่ได้ให้สัญญาว่าจะเข้ามาช่วยเหลือทันทีหากทางอาณาจักรออร์ธรอสจะทำสงครามนี่นา

เมื่อเห็นผมทำสีหน้าลำบากใจ เด็กสาวผิวสีแทนผู้มีหูแหลมยาวที่ยื่นอยู่ข้างๆเอลิซาเบธพูดขึ้นมา เธอคนนี้เป็นราชทูตจากเผ่าดาร์คเอล์ฟแห่งเลอเฟียชื่อว่าลูเชียเร่ และมันก็ตามที่เธอพูดมานั่นแหละ อาณาจักรออร์ธรอสนั้นได้ทำสทธิสัญญาร่วมกับพวกเธอเอาไว้

สำหรับสิ่งที่พวกเธอต้องการจากอาณาจักรออร์ธรอสนั้นคือความช่วยเหลือในการสร้างประเทศของพวกเธอขึ้นมาใหม่ โดยอาณาเขตพื้นที่นั้นพวกเธอร้องขอพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอากัสเตรีย

ตามจริงแล้วพื้นที่ในส่วนนั้นผมไม่ได้ประกาศให้เป็นของอาณาจักรออร์ธรอส ซึ่งเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่าพื้นที่ในส่วนนั้นมันเป็นทุ่งหิมะและธารน้ำแข็งมันจึงไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย

แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ของพวกเธอนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถอยู่ไปอาศัยได้อย่างสบาย ดังนั้นผมจึงได้ตกลงที่จะช่วยเหลือให้พวกเธอได้สร้างประเทศขึ้นใหม่ในพื้นที่แถบนั้น โดยแลกเปลี่ยนกับการที่พวกเธอจะส่งกำลังมาช่วยเหลือในเวลาสงคราม

ชั้นเป็นคนเรียกพวกเค้ามาเองค่ะทัตสึยะซามะ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนก็เลยยังไม่ได้แจ้งให้ทราบ แต่ทั้งเผ่าแวมไพร์ เผ่าศาสตรา และเผ่าดาร์คเอล์ฟต่างก็มีความพร้อมในการต่อสู้ ดังนั้นชั้นจึงคิดว่าในครั้งนี้คงจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกทหารของเราจะได้ลองร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับพวกเค้าน่ะค่ะ

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมพวกเธอถึงรู้ข่าวได้ทั้งๆที่มันควรจะเป็นความลับนั้น เอริจังเป็นคนเข้ามาอธิบายให้ผมฟัง ถึงแม้เธอจะทำเกินหน้าที่ไปซักหน่อย แต่สิ่งที่เธอทำลงไปก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

ดังนั้นหลังจากจัดการเตรียมผ้าคลุมกันไฟให้กับพวกเธอที่มาเข้าร่วมเพิ่มเติมแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิแอสกรัมในทันที

การเดินทางในครั้งนี้พวกเราใช้กองทัพเรือเหาะจำนวนทั้งหมด 14 ลำ และด้วยการเร่งความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดเวลานั้น พวกเราจะคงไปถึงเมืองแอสคาลในเวลาไม่เกิน 14 ชั่วโมง.....

6 ความคิดเห็น:

  1. รอฉากสงครามอยู่เลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. รอก่อนนะ ตอนหน้าเป็นเนื้อเรื่องของเวลน่าก่อน -0-//

      ลบ
  2. อ่านตอนนี้ เพลงประกอบของ battlefield 1 ลอยเข้ามาในหัวเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สงครามรอบนี้ จอมเวทโลลิของจักรวรรดิออกโรง -0-//

      ลบ
  3. สรุปเผ่าพันทั้งหมดมีอยู่ 10 เผ่าใช้ไหมแล้วเผ่าศาสตรา มาจากไหนอะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เผ่าศาสตรา เป็นเผ่าหนึ่งของเผ่าวาลาร์ดครับ เหมือนกับเผ่าแวมไพร์

      ลบ