ช่วงเช้าของวันที่ 4 เดือน 4 ศักราชเอลติซปีที่ 837
「ทั้งๆที่บอกให้ถอยไปแล้วแท้ๆ
เธอเนี่ยไม่ไหวเอาซะเลยนะ」
ผมพึมพำออกมาในระหว่างที่รอให้พวกเมดมาช่วยใส่ชุดเกราะให้
ก่อนหน้านี้เพราะผมอารมณ์เสียสุดๆจึงได้ไประบายอารมณ์ใส่พวกทหารของศาสนจักรโดยไร้ความปราณี
ซึ่งกับสิ่งที่ทำลงไปนั้น ผมไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
กับพวกมันที่กล้ายื่นมือเข้ามาแตะต้องผู้หญิงของผมจะต้องถูกลงโทษ
แต่ดูเหมือนยัยโรน่าจะไม่ชอบในสิ่งที่ผมทำซักเท่าไหร่เธอจึงได้มาขวางผมเอาไว้
มันเป็นความผิดของเธอเองที่เข้ามาขวางผม เพราะงั้นผมจึงได้ระบายอารมณ์ทั้งหมดที่อัดอั้นเอาไว้ลงกับร่างกายของยัยโรน่าแทน
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็ทำให้ยัยโรน่าสลบไปในสภาพที่น่าอายสุดๆกลางสนามรบ
「คูเซียจัง ช่วยพายัยโรน่ากลับไปที่เรือเหาะแล้วคอยดูแลเธอทีนะ」
「รับทราบค่ะ」
คูเซียจังจอบรับและโค้งตัวอย่างสง่างามก่อนที่เธอจะสั่งให้ลูกน้องของเธอมาพาตัวยัยโร่น่าออกกลับไปยังเรือเหาะ
「พวกเราเองก็ไปกันเถอะ」
ผมหันไปมองคาโอริจังและนานามิจังที่คอยเฝ้าระวังอยู่ใกล้ๆและค่อยๆพาพวกเธอเดินไปยังบริเวณประตูทางเข้าปราสาทช้าๆ
「ไม่พักซักหน่อยเหรอคะ」
นานามิจังเดินเข้ามาใกล้และพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
「พักมามากพอแล้วล่ะ
พวกเรายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำนะ นานามิจัง」
ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางสบายๆ กับยัยโรน่าน่ะ
ไม่ว่าผมจะสนุกกับร่างกายของเธอมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะเหนื่อย ไม่สิ
แทนที่จะเหนื่อยกลับรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนเสียมากกว่า
「แล้วจะทำยังไงกับพวกที่เหลือดีล่ะคะ
ทัตสึยะซามะ」
คาโอริจังเดินเข้ามาควงแขนผมและพูดออกมา เบื้องหน้าของพวกเราในตอนนี้ยังคงมีการต่อสู้เหลืออยู่
ถึงแม้กองอัศวินที่ 3
ของสเตล่าจังจะสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ที่บริเวณหน้าประตูปราสาทเอาไว้ได้แล้ว
แต่จำนวนของศัตรูที่พยายามจะบุกเข้ามายังคงเหลืออยู่อีกมาก
「ผมจะเจรจากับพวกนั้นซักหน่อย ฝ่ายนั้นเองก็สูญเสียไปมาก
เพราะงั้นถ้าพวกเรามีข้อเสนอดีดีล่ะก็ บางทีพวกนั้นน่าจะยอมถอยกลับไปก่อน」
จริงอยู่ที่ผมยังคงรู้สึกโกรธแค้นพวกทหารของศาสนจักรอยู่
แต่ในตอนนี้ผมเป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักร
เพาะงั้นจึงต้องคิดถึงพวกลูกน้องและส่วนรวมเอาไว้ด้วย ในครั้งนี้คงจะต้องเก็บความรู้สึกส่วนตัวคงเอาไว้ก่อน
「สมกับเป็นสามีของชั้น หลังจากนี้คงต้องให้รางวัลเยอะๆสินะคะ」
คาโอริจังยิ้มรับคำตอบของผม
เธอเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากของเธอลงบนริมฝีปากของผม
รสชาติริมฝีปากของโอคาริจังในวันนี้ทั้งหวานและหอมราวกับน้ำผึ้ง กลิ่นกายจากสบู่และแชมพูที่เธอใช้นั้นให้ความรู้สึกที่ยั่วยวนเป็นอย่างมาก
นี่ถ้าผมไม่ได้ปลดปล่อยกับยัยโรน่าก่อนหน้านี้ล่ะก็
ผมคงจะอดใจไม่ไหวแล้วจับคาโอริจังกดลงไปตรงนี้อย่างแน่นอน
「ขอบคุณนะคาโอริจัง
หลังจากนี้ก็ช่วยอยู่เคียงข้างผมตลอดไปนะ」
ผมประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากของคาโอริจัง พวกเราจูบกันและกันอย่างดูดดื่มอีกหลายครั้งก่อนจะขึ้นไปยังกำแพงปราสาท
「มัลต้าเตรียมอุปกรณ์เวทที่ผมสั่งเอาไว้พร้อมแล้วหรือยัง」
เนื่องจากผมต้องการเจรจากับพวกทหารของศาสนจักร ผมจึงได้สั่งให้พวกเมดเตรียมเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมรวมทั้งเครื่องขยายเสียงเอาไว้
「เตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ」
「ดีมาก」
ผมเดินเข้าไปบีบก้นมัลต้าอย่างแรงเพื่อให้รางวัล เมดสาวมัลต้าที่ถูกจู่โจมก็แสดงอาการเขินอายออกมาเล็กน้อย
「นานามิเธอก็ช่วยเตรียมร่ายเวทมนต์ตามที่บอกไว้เลยนะ」
「รับทราบค่ะ ชั้นจะทำให้ทหารพวกนั้นเชื่อในสิ่งที่ทัตสึยะซังพูดแน่นอนค่ะ」
หลังเตรียมการเสร็จผมก็ก้าวขึ้นไปบนขอบของกำแพงเมือง
ในจังหวะนั้นพวกเมดที่ได้รับคำสั่งก็เริ่มเปิดทำงานเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมและเครื่องขยายเสียง
ภาพของตัวผมที่ยืนอยู่บนกำแพงปราสาทได้ถูกขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้ทั่วทั้งเมืองสามารถที่จะมองเห็นได้
「ถึงเหล่าขุนนางและนักบวช ประชาชนทุกคนรวมถึงทหารทุกนายที่กำลังต่อสู้
ผมมาเอคาวะ ทัตสึยะ ผู้ปกครองอาณาจักรออร์ธรอส」
ภาพและเสียงของผมที่กระจายไปทั่วทั้งเมืองทำให้ผู้คนที่กำลังแตกตื่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
พวกทหารที่กำลังต่อสู้อยู่เมื่อได้เห็นภาพของผมก็ได้ถูกสั่งการให้หยุดการต่อสู้ชั่วคราวเพราะไม่รู้ว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น
「ผมต้องการจะประกาศให้ทุกท่านได้รับทราบ
ถึงเจตนาที่แท้จริงที่ตัวผมได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้ ตัวผมรวมถึงกองทัพทหารของอาณาจักรออร์ธรอสไม่ได้มีความประสงค์ที่จะทำสงครามกับศาสนจักรเลยแม้แต่น้อย」
「แกกำลังพูดบ้าอะไรวะ!!」
「พวกแกคร่าชีวิตลูกน้องและพวกพ้องของข้าไปนะโว๊ย!!!」
「ไอ้พวกจอมเวทนอกรีด!! พวกแกทำให้ผู้คนต้องล้มตายไปเท่าไหร่แล้ว!!!」
กับสิ่งที่ผมพูดไปนั้นสร้างความสับสนและไม่พอใจให้กับกองทัพของศาสนจักรเป็นอย่างมาก
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เพียงกับฝั่งศาสนจักรเท่านั้น แต่พวกชาวเมืองแอสคาลและเหล่าทหารฝั่งราชวงศ์เองก็แสดงความประหลาดใจออกมาเช่นเดียวกัน
ซึ่งผมก็เข้าใจมันได้ดี พวกเราที่อยู่ดีดีก็โผล่เข้ามาแทรกแซงสงครามในครั้งนี้ได้คร่าชีวิตเหล่าทหารศาสนจักรซึ่งเป็นพวกพ้องของพวกนั้นไปมากมาย
ดังนั้นการพูดว่าไม่ได้มีเจตนาทำสงครามคงจะเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่ผมก็ไม่สนใจและพูดต่อไป
「สิ่งที่ทำให้ผมต้องมาถึงเมืองแอสคาลแห่งนี้ก็เพราะมีว่ามีใครบางคนในเมืองแห่งนี้ได้ลักพาตัวและกักขังเด็กสาวเผ่าโลลิเทียเอาไว้
ด้วยสนธิสัญญาที่ให้เอาไว้กับเผ่าโลลิเทียจึงทำให้ผมไม่สามารถเมินเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปได้
เพราะเหตุนั้นผมจึงมีความต้องการให้ทุกท่านช่วยเลื่อนสงครามในครั้งนี้ออกไปก่อน」
แน่นอนว่าเรื่องที่เด็กสาวเผ่าโลลิเทียที่ถูกกักขังอยู่ภายในเมืองแห่งนี้เป็นเรื่องจริง
เพียงแต่ที่พวกเธอถูกกักขังนั้นส่วนหนึ่งเป็นคำสั่งของผมเอง นั่นก็เพราะผมไม่ต้องการให้มีใครรู้เกี่ยวกับการขนส่งตัวพวกเธอ
「เจ้านั่นพูดถึงเด็กสาวเผ่าโลลิเทียว่ะ」
「แล้วเด็กสาวเผ่าโลลิเทียมันสำคัญยังไงวะ!!」
「มึงจะโง่ไปไหนวะ เด็กสาวเผ่าโลลิเทียขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลกนะเว้ย!! ขนาดพวกที่ไม่บริสุทธิหรืออายุมากแล้วก็ยังมีราคาหลายล้านรีลเลยนะเว๊ย!!!」
「ถ้าเจอตัวพวกเธอนี่ได้สบายไปตลอดทั้งชาติเลยนะโว๊ย!!!」
พวกทหารของศาสนจักรยังคงเสียงด่าทอและเสียงไม่พอใจอยู่ตลอด
แต่บรรดานายทหารและพวกขุนพลต่างๆที่อยู่ระดับสูงนั้นดูเหมือนจะเริ่มมีความสนใจในสิ่งที่พวกผมพูด
บางทีพวกนั้นเองก็อาจจะมีสายลับและได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่
「3 วัน!! ขอเวลาให้ผมได้ช่วยเหลือพวกเธอรวมถึงจับตัวผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้กลับไปลงโทษ
หลังจากพ้น 3 วันไปแล้วพวกผมจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวและพากองทัพของอาณาจักรออร์ธรอสกลับไปในทันที」
「ก็แค่ข้ออ้างเพื่อถ่วงเวลาไม่ใช่เหรอไงวะ!!」
「ใช่แล้ว!! พวกแกต้องการถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังเสริมมาถึง!!」
「พวกเราไม่ได้โง่นะโว๊ย!!!」
「พวกคุณหลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงแค่แผนการเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น
แต่ผมขอบอกกับพวกคุณทุกคนเลยว่า พวกเราที่ได้รับพลังจากเหล่าเทพธิดานั้นไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถ่วงเวลาเลยแม้แต่น้อย」
พูดจบผมก็ส่งสัญญาณไปให้กับนานามิจังเพื่อใช้เวทมนต์ในทันที
ในนาทีนั้น ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณก็ได้กลับกลายเป็นกลางคืน ดวงอาทิตย์ที่ได้ทอแสงสีทองอยู่ก่อนหน้านี้ได้หายลับไปในความมืด
เวทมนต์ Unlimited
Darkness จาก Dark Magic ของนานามินั้นสามารถเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบจากกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนได้ในชั่วพริบตา
แน่นอนว่าเวทมนต์นั้นไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป แต่เพียงแค่นี้ก็สามารถสั่นคลอนหัวใจเหล่าททารของศาสนจักรได้อย่างสบาย
เหล่าหทารพวกนั้นที่ก่อนหน้านี้เคยไม่เชื่อว่าพวกเราได้มีเทพธิดาคอยหนุนหลังอยู่มีแต่จะต้องกลับไปทบทวนเสียใหม่
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้นายทหารฝ่ายศาสนจักรยอมพักรบและหันหน้ามาเจรจากับพวกเรา
ซึ่งผลการเจรจาก็สามารถหาข้อยุติได้ด้วยสัญญาการพักรบ 3 วัน โดยทางฝ่ายศาสนจักรได้สั่งให้ทหารทั้งหมดถอยออกไปยังเมืองชั้นนอก
และใช้เมืองชั้นนอกในการตั้งค่ายพักแรม
แน่นอนว่าการที่เรื่องราวสามารถจบลงได้ง่ายขนาดนี้ก็เป็นเพราะผมได้ใช้เงินและสิ่งของมีค่าอีกนิดหน่อยในการติดสินบนพวกนั้น......
จัดกลางสนามรบแบบไม่เกรงใจคนดูเลยนะ แต่กลายเป็นอาหารทางใจคนอ่าน เอิ๊กๆ
ตอบลบหุหุ กลายเป็นปีศาจเต็มตัวละ
ลบเกรงใจเขาหน่อยไอ้คุณท่าน จะหื่นก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง สนามรบน่ะเฮ้ยไม่ใช่สนามรัก
ตอบลบระดับนี้แล้วครับ ไม่มีเกรงใจใครแล้ว -0-
ลบ