ตอนที่ 54 ลักพาตัว




ช่วงเช้าของวันที่ 4 เดือน 4 ศักราชเอลติซปีที่ 837              
                
ทั้งๆที่บอกให้ถอยไปแล้วแท้ๆ เธอเนี่ยไม่ไหวเอาซะเลยนะ

ผมพึมพำออกมาในระหว่างที่รอให้พวกเมดมาช่วยใส่ชุดเกราะให้ ก่อนหน้านี้เพราะผมอารมณ์เสียสุดๆจึงได้ไประบายอารมณ์ใส่พวกทหารของศาสนจักรโดยไร้ความปราณี ซึ่งกับสิ่งที่ทำลงไปนั้น ผมไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย กับพวกมันที่กล้ายื่นมือเข้ามาแตะต้องผู้หญิงของผมจะต้องถูกลงโทษ

แต่ดูเหมือนยัยโรน่าจะไม่ชอบในสิ่งที่ผมทำซักเท่าไหร่เธอจึงได้มาขวางผมเอาไว้ มันเป็นความผิดของเธอเองที่เข้ามาขวางผม เพราะงั้นผมจึงได้ระบายอารมณ์ทั้งหมดที่อัดอั้นเอาไว้ลงกับร่างกายของยัยโรน่าแทน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็ทำให้ยัยโรน่าสลบไปในสภาพที่น่าอายสุดๆกลางสนามรบ

คูเซียจัง ช่วยพายัยโรน่ากลับไปที่เรือเหาะแล้วคอยดูแลเธอทีนะ

รับทราบค่ะ

คูเซียจังจอบรับและโค้งตัวอย่างสง่างามก่อนที่เธอจะสั่งให้ลูกน้องของเธอมาพาตัวยัยโร่น่าออกกลับไปยังเรือเหาะ

พวกเราเองก็ไปกันเถอะ

ผมหันไปมองคาโอริจังและนานามิจังที่คอยเฝ้าระวังอยู่ใกล้ๆและค่อยๆพาพวกเธอเดินไปยังบริเวณประตูทางเข้าปราสาทช้าๆ

ไม่พักซักหน่อยเหรอคะ

นานามิจังเดินเข้ามาใกล้และพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

พักมามากพอแล้วล่ะ พวกเรายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำนะ นานามิจัง

ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางสบายๆ กับยัยโรน่าน่ะ ไม่ว่าผมจะสนุกกับร่างกายของเธอมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะเหนื่อย ไม่สิ แทนที่จะเหนื่อยกลับรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนเสียมากกว่า

แล้วจะทำยังไงกับพวกที่เหลือดีล่ะคะ ทัตสึยะซามะ

คาโอริจังเดินเข้ามาควงแขนผมและพูดออกมา เบื้องหน้าของพวกเราในตอนนี้ยังคงมีการต่อสู้เหลืออยู่ ถึงแม้กองอัศวินที่ 3 ของสเตล่าจังจะสามารถเข้าควบคุมสถานการณ์ที่บริเวณหน้าประตูปราสาทเอาไว้ได้แล้ว แต่จำนวนของศัตรูที่พยายามจะบุกเข้ามายังคงเหลืออยู่อีกมาก

ผมจะเจรจากับพวกนั้นซักหน่อย ฝ่ายนั้นเองก็สูญเสียไปมาก เพราะงั้นถ้าพวกเรามีข้อเสนอดีดีล่ะก็ บางทีพวกนั้นน่าจะยอมถอยกลับไปก่อน

จริงอยู่ที่ผมยังคงรู้สึกโกรธแค้นพวกทหารของศาสนจักรอยู่ แต่ในตอนนี้ผมเป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักร เพาะงั้นจึงต้องคิดถึงพวกลูกน้องและส่วนรวมเอาไว้ด้วย ในครั้งนี้คงจะต้องเก็บความรู้สึกส่วนตัวคงเอาไว้ก่อน

สมกับเป็นสามีของชั้น หลังจากนี้คงต้องให้รางวัลเยอะๆสินะคะ

คาโอริจังยิ้มรับคำตอบของผม เธอเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากของเธอลงบนริมฝีปากของผม รสชาติริมฝีปากของโอคาริจังในวันนี้ทั้งหวานและหอมราวกับน้ำผึ้ง กลิ่นกายจากสบู่และแชมพูที่เธอใช้นั้นให้ความรู้สึกที่ยั่วยวนเป็นอย่างมาก นี่ถ้าผมไม่ได้ปลดปล่อยกับยัยโรน่าก่อนหน้านี้ล่ะก็ ผมคงจะอดใจไม่ไหวแล้วจับคาโอริจังกดลงไปตรงนี้อย่างแน่นอน

ขอบคุณนะคาโอริจัง หลังจากนี้ก็ช่วยอยู่เคียงข้างผมตลอดไปนะ

ผมประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากของคาโอริจัง พวกเราจูบกันและกันอย่างดูดดื่มอีกหลายครั้งก่อนจะขึ้นไปยังกำแพงปราสาท

มัลต้าเตรียมอุปกรณ์เวทที่ผมสั่งเอาไว้พร้อมแล้วหรือยัง

เนื่องจากผมต้องการเจรจากับพวกทหารของศาสนจักร ผมจึงได้สั่งให้พวกเมดเตรียมเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมรวมทั้งเครื่องขยายเสียงเอาไว้

เตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ

ดีมาก

ผมเดินเข้าไปบีบก้นมัลต้าอย่างแรงเพื่อให้รางวัล เมดสาวมัลต้าที่ถูกจู่โจมก็แสดงอาการเขินอายออกมาเล็กน้อย

 นานามิเธอก็ช่วยเตรียมร่ายเวทมนต์ตามที่บอกไว้เลยนะ

รับทราบค่ะ ชั้นจะทำให้ทหารพวกนั้นเชื่อในสิ่งที่ทัตสึยะซังพูดแน่นอนค่ะ

หลังเตรียมการเสร็จผมก็ก้าวขึ้นไปบนขอบของกำแพงเมือง ในจังหวะนั้นพวกเมดที่ได้รับคำสั่งก็เริ่มเปิดทำงานเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมและเครื่องขยายเสียง ภาพของตัวผมที่ยืนอยู่บนกำแพงปราสาทได้ถูกขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้ทั่วทั้งเมืองสามารถที่จะมองเห็นได้

ถึงเหล่าขุนนางและนักบวช ประชาชนทุกคนรวมถึงทหารทุกนายที่กำลังต่อสู้ ผมมาเอคาวะ ทัตสึยะ ผู้ปกครองอาณาจักรออร์ธรอส

ภาพและเสียงของผมที่กระจายไปทั่วทั้งเมืองทำให้ผู้คนที่กำลังแตกตื่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก พวกทหารที่กำลังต่อสู้อยู่เมื่อได้เห็นภาพของผมก็ได้ถูกสั่งการให้หยุดการต่อสู้ชั่วคราวเพราะไม่รู้ว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น

ผมต้องการจะประกาศให้ทุกท่านได้รับทราบ ถึงเจตนาที่แท้จริงที่ตัวผมได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้ ตัวผมรวมถึงกองทัพทหารของอาณาจักรออร์ธรอสไม่ได้มีความประสงค์ที่จะทำสงครามกับศาสนจักรเลยแม้แต่น้อย

แกกำลังพูดบ้าอะไรวะ!!

พวกแกคร่าชีวิตลูกน้องและพวกพ้องของข้าไปนะโว๊ย!!!

ไอ้พวกจอมเวทนอกรีด!! พวกแกทำให้ผู้คนต้องล้มตายไปเท่าไหร่แล้ว!!!

กับสิ่งที่ผมพูดไปนั้นสร้างความสับสนและไม่พอใจให้กับกองทัพของศาสนจักรเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เพียงกับฝั่งศาสนจักรเท่านั้น แต่พวกชาวเมืองแอสคาลและเหล่าทหารฝั่งราชวงศ์เองก็แสดงความประหลาดใจออกมาเช่นเดียวกัน

ซึ่งผมก็เข้าใจมันได้ดี พวกเราที่อยู่ดีดีก็โผล่เข้ามาแทรกแซงสงครามในครั้งนี้ได้คร่าชีวิตเหล่าทหารศาสนจักรซึ่งเป็นพวกพ้องของพวกนั้นไปมากมาย ดังนั้นการพูดว่าไม่ได้มีเจตนาทำสงครามคงจะเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่ผมก็ไม่สนใจและพูดต่อไป

สิ่งที่ทำให้ผมต้องมาถึงเมืองแอสคาลแห่งนี้ก็เพราะมีว่ามีใครบางคนในเมืองแห่งนี้ได้ลักพาตัวและกักขังเด็กสาวเผ่าโลลิเทียเอาไว้ ด้วยสนธิสัญญาที่ให้เอาไว้กับเผ่าโลลิเทียจึงทำให้ผมไม่สามารถเมินเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปได้ เพราะเหตุนั้นผมจึงมีความต้องการให้ทุกท่านช่วยเลื่อนสงครามในครั้งนี้ออกไปก่อน

แน่นอนว่าเรื่องที่เด็กสาวเผ่าโลลิเทียที่ถูกกักขังอยู่ภายในเมืองแห่งนี้เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ที่พวกเธอถูกกักขังนั้นส่วนหนึ่งเป็นคำสั่งของผมเอง นั่นก็เพราะผมไม่ต้องการให้มีใครรู้เกี่ยวกับการขนส่งตัวพวกเธอ

เจ้านั่นพูดถึงเด็กสาวเผ่าโลลิเทียว่ะ

แล้วเด็กสาวเผ่าโลลิเทียมันสำคัญยังไงวะ!!

มึงจะโง่ไปไหนวะ เด็กสาวเผ่าโลลิเทียขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลกนะเว้ย!! ขนาดพวกที่ไม่บริสุทธิหรืออายุมากแล้วก็ยังมีราคาหลายล้านรีลเลยนะเว๊ย!!!

ถ้าเจอตัวพวกเธอนี่ได้สบายไปตลอดทั้งชาติเลยนะโว๊ย!!!

พวกทหารของศาสนจักรยังคงเสียงด่าทอและเสียงไม่พอใจอยู่ตลอด แต่บรรดานายทหารและพวกขุนพลต่างๆที่อยู่ระดับสูงนั้นดูเหมือนจะเริ่มมีความสนใจในสิ่งที่พวกผมพูด บางทีพวกนั้นเองก็อาจจะมีสายลับและได้รับรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่

3 วัน!! ขอเวลาให้ผมได้ช่วยเหลือพวกเธอรวมถึงจับตัวผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้กลับไปลงโทษ หลังจากพ้น 3 วันไปแล้วพวกผมจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวและพากองทัพของอาณาจักรออร์ธรอสกลับไปในทันที

ก็แค่ข้ออ้างเพื่อถ่วงเวลาไม่ใช่เหรอไงวะ!!

ใช่แล้ว!! พวกแกต้องการถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังเสริมมาถึง!!

พวกเราไม่ได้โง่นะโว๊ย!!!

พวกคุณหลายคนอาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงแค่แผนการเพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น แต่ผมขอบอกกับพวกคุณทุกคนเลยว่า พวกเราที่ได้รับพลังจากเหล่าเทพธิดานั้นไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องถ่วงเวลาเลยแม้แต่น้อย

พูดจบผมก็ส่งสัญญาณไปให้กับนานามิจังเพื่อใช้เวทมนต์ในทันที

ในนาทีนั้น ท้องฟ้ายามรุ่งอรุณก็ได้กลับกลายเป็นกลางคืน ดวงอาทิตย์ที่ได้ทอแสงสีทองอยู่ก่อนหน้านี้ได้หายลับไปในความมืด เวทมนต์ Unlimited Darkness จาก Dark Magic ของนานามินั้นสามารถเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบจากกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนได้ในชั่วพริบตา

แน่นอนว่าเวทมนต์นั้นไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป แต่เพียงแค่นี้ก็สามารถสั่นคลอนหัวใจเหล่าททารของศาสนจักรได้อย่างสบาย เหล่าหทารพวกนั้นที่ก่อนหน้านี้เคยไม่เชื่อว่าพวกเราได้มีเทพธิดาคอยหนุนหลังอยู่มีแต่จะต้องกลับไปทบทวนเสียใหม่

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้นายทหารฝ่ายศาสนจักรยอมพักรบและหันหน้ามาเจรจากับพวกเรา ซึ่งผลการเจรจาก็สามารถหาข้อยุติได้ด้วยสัญญาการพักรบ 3 วัน โดยทางฝ่ายศาสนจักรได้สั่งให้ทหารทั้งหมดถอยออกไปยังเมืองชั้นนอก และใช้เมืองชั้นนอกในการตั้งค่ายพักแรม

แน่นอนว่าการที่เรื่องราวสามารถจบลงได้ง่ายขนาดนี้ก็เป็นเพราะผมได้ใช้เงินและสิ่งของมีค่าอีกนิดหน่อยในการติดสินบนพวกนั้น......

4 ความคิดเห็น:

  1. จัดกลางสนามรบแบบไม่เกรงใจคนดูเลยนะ แต่กลายเป็นอาหารทางใจคนอ่าน เอิ๊กๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. หุหุ กลายเป็นปีศาจเต็มตัวละ

      ลบ
  2. เกรงใจเขาหน่อยไอ้คุณท่าน จะหื่นก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง สนามรบน่ะเฮ้ยไม่ใช่สนามรัก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ระดับนี้แล้วครับ ไม่มีเกรงใจใครแล้ว -0-

      ลบ