-- มุมมองของเลคซิอุส --
ช่วงสายของวันที่ 5 เดือน 5 ศักราชเอลติซปีที่ 837
ข้า เลคซิอุส เอลมุส วอน เอลติซ เจ้าชายลำดับที่ 11
ของจักรวรรดิเอลติซ ท่านพ่อของข้าผู้เป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีภรรยามากกว่า 20 คนจึงทำให้ข้ามีพี่น้องต่างแม่อยู่มากมาย
เพราะเหตุนั้นเอง
การที่ตัวข้าจะได้รับสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากท่านพ่ออย่างถูกต้องจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นตัวข้าก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้
ในเมื่อตัวข้าเกิดมาพร้อมกับสายเลือดของราชวงศ์ ความทะเยอทะยานที่จะขึ้นเป็นที่ 1
นั้นเป็นเหมือนสามัญสำนึก
ถึงแม้การที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกท่านพี่ทั้งหลายจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนัก
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่
ความกระหายในอำนาจและความต้องการที่จะขึ้นไปยืนอยู่เหนือผู้อื่นก็ไม่เคยจางหายไป
ข้าค่อยๆสะสมกำลังคนและกำลังทรัพย์ทีละเล็กทีละน้อยทุกวิถีทางตั้งแต่ยังเล็ก
หากต้องการจะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดที่เหนือกว่าผู้อื่นแล้วทั้งสองสิ่งข้างต้นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
หลายๆครั้งข้าได้แอบนำสมบัติของราชวงศ์ออกไปขายหรือแลกเปลี่ยนกับอุปกรณ์เวทต่างๆที่จำเป็นในอนาคต
และหนึ่งในสิ่งของที่ข้าสามารถหามาได้นั่นก็คือบันทึกของอดีตผู้กล้าแห่งอีนอส
ผู้กล้าแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งมีนามว่า ทีทัส กาเรน
ผู้กล้าทีทัสนั้นเป็นผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมาจากอีกโลกหนึ่งด้วยพลังของเทพธิดาในสมัยสงคราม
10 เผ่า
ในช่วงปลายของสงครามครั้งนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเผ่าพันธุ์อื่นๆร่วมมือกันรุกรานจนแทบสิ้นแผ่นดิน
เพราะเหตุนั้นหนึ่งในเทพธิดาทั้ง 6
จึงได้ให้ความช่วยเหลือโดยการอัญเชิญผู้กล้าที่มีพลังมากมายมหาศาล
ด้วยพลังนั้นผู้กล้าทีทัสได้ให้ความช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์จนในที่สุดก็สามารถรอดพ้นวิกฤตมาได้
และในบันทึกเล่มที่ข้าได้มานี้ก็ได้มีการเขียนบันทึกถึงเวทมนต์ต้องห้ามหลายบทเอาไว้
แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้เขียนลงในบันทึกนั้นเป็นภาษาของอีกโลกหนึ่งจึงไม่มีใครสามารถที่จะถอดรหัสของข้อความด้านในออกมาได้
เพระเหตุนั้นเองมันจึงกลายเป็นเพียงบันทึกโบรานเล่มหนึ่งที่ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากนัก
แต่การที่เรื่องเป็นแบบนี้ก็นับว่าเป็นโชคดีของข้า
ตัวข้านั้นมีสกิลพิเศษติดตัวมาตั้งแต่ที่ชื่อ Translation อยู่
ด้วยสกิลนี้ทำให้ตัวข้าสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาของภาษาทุกภาษาได้แม้จะไม่ทราบว่ามันเป็นภาษาอะไรก็ตามที
ข้าใช้เวลากว่า 10
ปีในการทดลองและฝึกฝนเวทมนต์ต้องห้ามทั้งหลายจนเชี่ยวชาญ และหนึ่งในเวทมนต์ต้องห้ามที่ข้าชื่นชอบและได้ใช้งานมันบ่อยมากที่สุดก็คือเวทมนต์ที่ชื่อ『รังสรรค์ความทรงจำ』
เวทมนต์『รังสรรค์ความทรงจำ』 ที่ว่านี้ทำให้ข้าสามารถ ลบ ปรับเปลี่ยน
และสร้างความทรงจำของผู้คนได้ตามที่ข้าต้องการ
แต่ถึงจะบอกว่าตามต้องการมันก็ยังต้องใช้เวลานานเป็นเดือนกว่าจะสามารถทำให้ใครคนใดคนหนึ่งกลายมาเป็นข้ารับใช้ได้อย่างสมบูรณ์
และยิ่งหากเป็นเป้าหมายนั้นเป็นผู้ที่มีมานาสะสมอยู่ภายในร่างกายสูงแล้วก็ยิ่งต้องใช้เวลานานมากขึ้นไปอีก
แต่แล้วในที่สุด หลังจากใช้เสียเวลาไปมากกว่าครึ่งปี ตัวข้าก็สามารถปรับเปลี่ยนความทรงจำของเหล่าผู้กล้าทั้ง
14 คนของจักรวรรดิที่ถูกอัญเชิญเมื่อครึ่งปีก่อนได้สำเร็จ
「เลคซิอุสซามะ คนของเราเข้ายึดครองปราสาทเอลติซเอาไว้ได้แล้วครับ
พวกราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงทั้งหลายเองก็ถูกจับกุมตัวเอาไว้ทั้งหมดแล้วครับ!」
เฮลมิเลส หัวหน้าอัศวินข้ารับใช้ของข้าเข้ามารายงานด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
「เจ้าทำได้ดีมาก! คืนนี้ข้าจะยกเจ้าหญิงฟลอร่าให้เจ้าได้เล่นสนุกตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้」
ข้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เฮลมิเลสนั้นได้หมายตาเจ้าหญิงฟลอร่าซึ่งเป็นหนึ่งในน้องสาวต่างแม่ของข้าเอาไว้นานแล้ว
แต่ถึงแม้เฮลมิเลสจะเป็นอัศวินที่เก่งกาจหรือมีความดีความชอบมากแค่ไหน การที่จะได้แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์นั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เพราะเหตุนั้นข้าจึงได้ให้สัญญาเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะเริ่มการปฏิวัติ
การที่ได้ข้ารับใช้ที่มากความสามารถอย่างเฮลมิเลสมาโดยแลกกับเจ้าหญิงองค์เดียวนั้นเรียกได้ว่าคุมค่าเป็นอย่างมาก
「ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ 」
「ในที่สุดก็ถึงเวลาจัดการขั้นสุดท้ายเสียทีสินะ
ข้าจะรีบไปเข้าพบท่านพ่อในทันที เจ้าออกไปเตรียมการรอที่ด้านนอกคฤหาสน์」
「รับทราบ!」
เฮลมิเลสตอบรับคำพูดของข้าด้วยเสียงอันดังก่อนจะเดินจากไป
「เธอเองก็ต้องไปเข้าพบท่านพ่อด้วยกันกับข้านะ
มากิ」
ข้าหันไปออกคำสั่งกับเด็กสาวที่นอนเปลือยกายอยู่ข้างกายของข้า
เด็กสาวผู้นี้มีชื่อว่า ฮารุซาวะ มากิ
เธอเป็นหนึ่งในผู้กล้าที่ถูกพ่อของข้าอัญเชิญมาจากต่างโลกโดยใช้มานาที่สะสมเอาไว้ในคริสตันแห่งเผ่าพันธุ์ทั้ง
9 ชิ้น
คริสตันแห่งพลังของแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นสามารถกักเก็บมานาเอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะเผ่าพันธุ์นักรบสวรรค์ได้
ดังนั้นพวกเราจึงสามารถรวบรวมคริสตันแห่งเผ่าพันธุ์มาได้เพียง 9 ชิ้นเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะมีเพียง 9 ชิ้น
ด้วยมานาจำนวนมากที่สะสมอยู่ก็เพียงพอที่จะอัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลก
หรือแม้แต่สร้างสมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถทำขึ้นมาได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญนั้นมีเพียงการเฝ้ารอเวลาให้พลังมานาให้คริสตันแห่งเผ่าพันธุ์ทั้ง
9 ค่อยๆสะสมจนมีมานามากพอเพียงเท่านั้น
「เข้าใจแล้วค่ะ
ชั้นจะรีบไปแต่งตัวเพื่อเข้าเฝ้านะคะ เลคซิอุสซามะ」
มากิ ลุกขึ้นจากเตียงของข้าและเดินออกจากห้องของข้าไปอย่างสง่างาม ผมยาวสลวยสีน้ำตาลแดงปลิวไสว
ผิวกายที่ขาวเนียนของเธอเปล่งประกายงดงามสะท้อนกับแสงของด้วงอาทิตย์
ความงดงามของเธอนั้นเทียบได้ในระดับเดียวกันกับเด็กสาวที่เกิดมาในตระกูลขุนนางชั้นสูงเลยทีเดียว
หลังจากมากิออกไปแล้ว
เมดสาวหลายคนก็ได้นำเอาเสื้อผ้าเข้ามาเพื่อแต่งตัวให้กับข้า วันนี้เป็นวันที่ตัวข้าเฝ้ารอคอยมาแสนนาน
เป็นวันที่ข้าจะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นวันที่ข้าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ของจักรวรรดิเอลติซ
เป็นวันสำคัญที่ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้จะต้องจำจดเอาไว้
「ท่านช่างสง่างามมากเลยค่ะ เลคซิอุสซามะ」
หลังจากแต่งตัวเสร็จและออกไปยังหน้าคฤหาสน์ คู่หมั้นของข้า เอสเต้
วอน เอลติซ บุตรสาวของท่านดยุคมาคัสได้ยืนรอต้อนรับข้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ในวันนี้เอสเต้สวมชุดเดรสสีขาวที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีสูงค่า
วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเธอเองเช่นเดียวกัน
「เจ้าเองก็งดงามมากเลยนะเอสเต้
ช่างเหมาะสมกับที่เป็นคู่ครองของข้า ตัวเจ้าที่แสนงดงามนั้นเหมาะสมกับที่จะได้ขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดินีในวันนี้ยิ่งนัก」
「ขอบคุณมากค่ะ」
เอสเต้จับชายกระโปรงทั้งสองข้างยกขึ้นและย่อตัวลงเพื่อแสดงการขอบคุณ จากนั้นเธอจึงค่อยๆเดินอย่างสง่างามและเข้ามาควงแขนของข้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้ที่ผลิบานเป็นดอกแรกในยามรุ่งอรุณ
และเมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วพวกเราเดินก็ทางไปยังปราสาทเอลติซด้วยรถลากและเจลโล่
มากิและพวกผู้กล้าที่เป็นเพื่อนๆของเธอที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของข้าก็ขี่เจลโล่ติดตามมาด้วยเช่นกัน
จากคฤหาสน์ของข้าไปจนถึงปราสาทเอลติซในวันนี้มีทหารที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของข้ายืนขนาบสองข้างทางไปตลอดทาง
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงยังปราสาทเอลติซ
บริเวณหน้าปราสาทนั้นมีเหล่าขุนนาง ข้ารับใช้ และข้าราชการอีกมากมายที่เข้าร่วมการปฏิวัติในครั้งนี้ตั้งขบวนต้อนรับอย่างอลังการ
ข้าและเอสเต้ลงจากรถลากและเข้าไปกล่าวทักทายเหล่าขุนนางตามมารยาท
จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังปราสาทโดยมีพวกผู้กล้าและเหล่าอัศวินตามหลังมา
「เลคซิอุส นี่แกคิดจะก่อกบฏเรอะ!! รีบปล่อยข้าเด๋วนี้นะโว๊ย!!!」
เมื่อข้าเปิดประตูและเดินเข้าไปยังท้องพระโรง ท่านพ่อที่เห็นก็พูดจาด่าทอข้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในทันที
ภายในท้องพระโรงในตอนนี้นั้น ทั้งท่านพ่อท่านแม่ บรรดาเจ้าหญิงเจ้าชาย
และขุนนางชั้นสูงอีกหลายคนที่อยู่คนละฝ่ายกับข้าทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้มารออยู่ก่อนแล้ว
「อาร๊า! เลคซิอุสซามะไม่ได้คิดเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นหรอกนะคะฝ่าบาท
สิ่งที่เลคซิอุสซามะทำลงไปในวันนี้ก็แค่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองของประเทศนี้เพียงเล็กน้อย
และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของจักรวรรดิเอลติซในอนาคตเท่านั้นเองค่ะ」
เอสเต้ตอบโต้คำพูดของท่านพ่อกลับไปด้วยใบหน้าซุกซนและน้ำเสียงไพเราะ
สิ่งที่เอสเต้ได้พูดออกไปนั้นเป็นเรื่องจริง จักรวรรดิเอลติซในตอนนี้เรียกได้ว่ากำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤต
ซึ่งเหตุผลหลักๆนั้นก็มาจากการที่อาณาจักรออร์ธรอส
หรือที่ผู้คนเรียกกันว่าอาณาจักรเวทมนต์
อาณาจักรออร์ธรอสได้เริ่มแผ่ขยายอำนาจจากทวีปอากัสเตรียไปยังทวีปอื่นๆอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอำนาจของอาวุธและพาหนะเวทมนต์ทำให้นานาประเทศต่างพากันหวาดกลัว
นอกจากนั้นอาณาจักรเวทมนต์ยังได้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและสิ้นค้าฟุ่มเฟือยหลายอย่างเข้ามาในตลาด
ด้วยสิ้นค้าคุณภาพสูงและราคาที่ต่ำกว่าสินค้าทั่วไปจึงทำให้เกิดการขาดดุลเป็นจำนวนมาก
จากผลข้างต้นได้สร้างความปั่นป่วนให้กับบรรดาพ่อค้าและเหล่าขุนนางที่ดูแลเมืองต่างๆเป็นอย่างมาก
ทั้งเหล่าผู้คนที่มีความสามารถและเงินทองต่างหลั่งไหลเข้าไปในอาณาจักรออร์ธรอสอย่างไม่สิ้นสุด
ในตอนนี้ข้าสามารถบอกได้เลยว่าหลายๆประเทศนั้นเริ่มที่จะไม่สามารถการควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว
ดังนั้นหากปล่อยให้ท่านพ่อบริหารประเทศอย่างเชื่องช้าแบบนี้ต่อไปล่ะก็
ในอนาคตจักรวรรดิเอลติซคงไม่เหลืออะไรเป็นแน่
「แกคิดว่าทำแบบนี้กับข้าแล้วจะสามารถยึดเอาประเทศนี้ไปได้ง่ายๆเหรอวะ!! จักรวรรดิเอลติซไม่ได้มีแค่ในทวีปนี้เท่านั้นที่มีกำลังทหารนะโว๊ย!!」
「ไม่ต้องห่วงไปหรอกท่านพ่อ
ข้าจะจัดการกับพวกที่มันไม่เห็นด้วยกับข้าทั้งหมดเอง เพราะงั้นท่านพ่อก็สามารถตายตาหลับได้แล้วล่ะนะ」
「เลคซิอุส!!!!!!」
และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายของท่านพ่อก่อนที่ท่านพ่อจะถูกมากิสังหาร
บรรดาเจ้าชายที่ไม่ยอมคุกเข่าให้กับข้าเองก็ถูกสังหารตามไป ส่วนบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายนั้นจะถูกมอบให้กับเหล่าขุนนางชั้นสูงรวมถึงบรรดาราชวงศ์ของนานาประเทศที่เข้าร่วมกับข้าเพื่อสานความสัมพันธุ์
มากิโดน ntr เพราะโดนเปลี่ยนความทรงจำหรอกหรอเนี่ย อย่างนี้มันน่าซัดไอ้องค์ชายให้เละจริงๆ
ตอบลบเห็นด้วยครับ บังอาจมาก ทรมานเจ้าชายชั่วซักพันรอบก็ยังไม่สาแก่ใจ
ลบหึหึ ต้องรอดูกันต่อไป
ลบโธ่ สุดท้ายก็เสร็จไปจนได้ มากิจัง งานนี้คงต้องจัดเต็มเรื่องยกกองทัพถล่มเจ้าชายชั่วแบบนี้ซะแล้ว
ตอบลบบทหน้าก็ได้เจอกันแล้ว -0-//
ลบห๊ะ ไวมาก ไม่ทันไรก็เจอ หรือว่าออกมาประกาศสงครามแล้วบักทัตเห็นมากิสินะ
ลบบทที่ 4 เน้นเรื่องของสงครามเป็นหลัก
ลบกลางๆบทก็จะได้เจอกันแล้วล่ะ
บทต่อไป ทัตสึยะคงจะกลายเป็นราชาปีศาจสินะ
ตอบลบเป็นราชาปีศาจมานานแล้ว -0-//
ลบถ้าโดน ntrเพราะใช้สกิลเปลี่ยนความทรงจำนี่รู้สึกผิดหวังนิดๆแหะ นึกว่าโดน mindbreak อะไรประมาณนี้
ตอบลบเห็นด้วยการ ntr โดยเปลี่ยนความทรงจำ สำหรับผมไม่นับเป็น ntr หรอกนะ
ลบต้องค่อยๆ ละลายเธอไปเรื่อยๆ จนสมยอมสิ หึๆ
เรื่องมันจะน่าเศร้าไปนะ -0-
ลบสำหรับผมยังไงก็ขึ้นอยู่กับคนแต่ง ขออ่านต่อไปเรื่อย เป็นกำลังใจให้เรื่อยๆ สู้ครับ
ลบมีเจ้าชายหรือเจ้าหญิงที่รอดจากการปฏิวัติครั้งนี้บ้างไหมคับ หรือว่าโดนหมด
ตอบลบมีพวกที่แต่งงานออกไปแล้วครับ -0-//
ลบตอนเจอกับเทพทัตดาม่าแน่เลย
ตอบลบมีแน่นอน คงไม่ใช่แบบโลกสวยด้วยแน่ อาจจะต้องรบกันไปทั้งบทเลยก็ได้มั้ง(เมากาวเดาเอาน่ะ)
ลบรอกันต่อไป -0-
ลบตอนเทพทัตเจอหน้าเจ้าชายโชกเลือดแน่5555
ตอบลบตอนเทพทัตเจอหน้าเจ้าชายโชกเลือดแน่5555
ตอบลบตอนเทพทัตเจอหน้าเจ้าชายโชกเลือดแน่5555
ตอบลบจัดการเมียมันคืนเลย ต่อหน้ามันด้วยเลย
ตอบลบเรื่องนี้ ราชาปีศาจเป็นพระเอก ส่วนฮีโร่เป็นตัวโกง สวดยอด
ตอบลบเรื่องนี้ ราชาปีศาจเป็นพระเอก ส่วนฮีโร่เป็นตัวโกง สวดยอด
ตอบลบ