ตอนที่ 7 งานเลี้ยงดูตัว บทที่ 1


-- มุมมองของฟลอร่า --            

ช่วงเช้าของวันที่ 17 เดือน 8 ศักราชเอลติซปีที่ 837

นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่ที่ชั้นถูกเวลน่าและพวกเมดจากหน่วยเมดติดอาวุธช่วยออกมา ในช่วงหลายวันมานี้ ชั้นได้เรียนรู้และได้พบเจอกับสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างมากมาย

ทั้งวัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของอาณาจักรออร์ธรอสนั้นมีความแตกต่างกับจักรวรรดิเอลติซเป็นอย่างมาก พวกเค้าจะให้ความสำคัญกับผู้คนในทุกชนชั้นและทุกเผ่าพันธุ์อย่างเท่าเทียมกัน

หากเป็นในจักรวรรดิเอลติซล่ะก็ การที่จะได้เห็นพวกทาสหรือสามัญชนมาร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันกับเหล่าขุนนางชั้นสูงนั้นคงเป็นได้เพียงแค่ฝัน แต่สำหรับผู้คนในอาณาจักรออร์ธรอสนั้น พวกเค้าสามารถพูดคุยในระหว่างการร่วมโต๊ะอาหารได้อย่างสนุกสนาน

ด้วยเหตุนั้นเอง ตัวชั้นที่รู้สึกสนใจในเรื่องราวเกี่ยวอาณาจักรออร์ธรอส จึงตัดสินใจขอร้องพวกท่านจอมเวทให้ชั้นได้เข้าร่วมกับหน่วยเมดติดอาวุธ ชั้นอยากจะเรียนรู้ว่าพวกเธอนั้น ต้องทำสิ่งใดหรือได้พบเจอกับสิ่งใดในระหว่างการทำงานบ้าง

และงานแรกของชั้นก็คือการไปรับตัวพวกเด็กสาวชาวบ้านจากหมู่บ้านที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองป้อมปราการมินิทาริส และพาพวกเธอมาเข้าพักยังหอพักชั่วคราวที่พึ่งจะถูกสร้างขึ้นเมื่อวานในบริเวณด้านนอกของเมืองป้อมปราการมินิทาริส รวมถึงคอยอธิบายรายละเอียดและให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานเลี้ยงดูตัวที่จะจัดขึ้นบริเวณลานกว้างให้กับพวกเธอฟัง

ถึงจะบอกว่าด้านเป็นบริเวณนอกของเมือง แต่ในปัจจุบันพวกท่านจอมเวทก็ได้สร้างกำแพงชั้นใหม่ขึ้นมารอบล้อมเมืองป้อมปราการมินิทาริสเอาไว้ ซึ่งเหตุผลก็เพื่อใช้เมืองป้อมปราการแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นในการรบ ดังนั้นมันจึงเปรียบเสมือนกับเมืองชั้นนอกเสียมากกว่า

และไอ้สุดยอดเวทมนต์ที่สามารถสร้างอาคารที่พักหลายแห่ง รวมทั้งกำแพงเมืองที่ทั้งแข็งแกร่งและใหญ่โตขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วันก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มาก บอกได้เลยว่าหากชั้นไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองล่ะก็ ชั้นคงคิดว่ามันเป็นเพียงข่าวลือที่ผู้คนชอบพูดกันให้เกินจริงอย่างแน่นอน

พวกเราใกล้จะถึงหมู่บ้านโซร่าแล้วนะคะ

หลังจากที่ชั้นออกเดินทางด้วยพาหนะเวทมนต์ที่ชื่อว่ารถบัสเพียงแค่ไม่ถึง 30 นาที เวลน่าก็บอกกับชั้นว่าพวกเราได้มาถึงจุดหมายแรกกันแล้ว

เอ๋!! นี่มันเร็วมากเลยนะคะ

ชั้นตอบกลับไปด้วยความตกใจ หมู่บ้านโซร่านั้นอยู่ห่างจากเมืองป้อมปราการมินิทาริสไปไกลถึง 60 กิโลมเตร เพราะงั้นถึงแม้จะเป็นหน่วยส่งสารที่ใช้เจลโล่ความเร็วสูงก็ยังต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง

ดังนั้นการที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาทีนั่นก็หมายความว่าเจ้าพาหนะเวทมนต์ที่ชื่อว่ารถบัสที่มีขนาดใหญ่โตคันนี้สามารถวิ่งได้เร็วกว่าเจลโล่ความเร็วสูงถึง 6 เท่าเลยทีเดียว

ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้ชั้นไม่รู้สึกแปลกใจเลย หากพวกขุนนางในหลายๆประเทศจะพากันแย่งชิงพาหนะเวทมนต์ของอาณาจักรออร์ธรอสกัน เพราะหากเกิดสงครามขึ้นล่ะก็ การที่กองทหารทั่วไปจะสามารถไล่ตามความเร็วของพาหนะเวทมนต์ได้นั้น เรียกว่าไม่มีทางเป็นได้เลย.....

และยิ่งถ้าหากรวมพลังทำลายของปืนใหญ่จากพาหนะเวทมนต์ที่มีชื่อว่าเฮลฮาวล์ที่ถล่มเมืองป้อมปราการมินิทาริสเมื่อสองวันก่อนเข้าไปด้วยล่ะก็......

ฟลอร่า ช่วยเตรียมเอกสารสำหรับการเข้าร่วมงานเลี้ยงดูตัวรวมทั้งค่าสินสอดให้พร้อมด้วยนะคะ

เวลน่าพูดพร้อมกับออกคำสั่งให้กับพวกเมดอีกสองคนที่มาด้วยกัน จากนั้นเธอก็เดินลงจากรถบัสไป ส่วนตัวชั้นที่ไดรับคำสั่งจากเธอนั้น ก็ได้หยิบเอาเอกสารสำหรับพวกเด็กสาวที่ตัดสินใจเข้าร่วมงานในครั้งนี้ออกมาตรวจสอบ รวมถึงนำเหรียญทองจำนวน 100 ร้อยเหรียญออกมาจากตู้เซฟภายในรถบัส

หลังจากตรวจนับเหรียญทองและเตรียมเอกสารเรียบร้อย ชั้นก็เดินตามเวลน่าไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนเมดสาวอีกสองคนที่เหลือจะทำการเตรียมเสบียงอาหารสำหรับแจกให้กับชาวบ้าน

เมื่อชั้นตามไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ชั้นก็เดินเข้าไปในภายในห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่นัด ภายในห้องมีเด็กสาววัยรุ่นอยู่มากมาย หากนับดูคร่าวๆก็น่าจะมากกว่า 20 คน โดยในครั้งนี้พวกท่านจอมเวทได้ทำการกำหนดอายุของเด็กสาวที่จะเข้าร่วมงานเอาไว้ในจดหมายที่ส่งมาแจ้งล่วงหน้าแล้ว โดยผู้ที่จะเข้าร่วมได้นั้น จะต้องเป็นเด็กสาวโสดหรือแม่ม่ายที่มีอายุตั้งแต่ 12ปี ถึง 22 ปี

รายละเอียดส่วนใหญ่ก็ตามที่ได้พูดไป มีท่านใดสงสัยอะไรบ้างไหมคะ?

หลังจากที่เวลน่าได้อธิบายรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับงานเลี้ยงดูตัวในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อย เธอก็ได้เปิดโอกาสให้ถามคำถามได้

ถะ ถ้าเกิดว่าพวกเราหาคู่ครองไม่ได้ กะ ก็จะต้องคืนเงินใช่มั๊ยคะ?

เด็กสาวรูปร่างผอมคนหนึ่งยกมือขึ้นและถามคำถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าครอบครัวของเธอจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงกังวลว่าอาจจะไม่มีใครสนใจที่จะรับตัวเธอเป็นเจ้าสาวก็เป็นได้

สำหรับเงิน 1 เหรียญทองที่มอบให้กับทุกคนจะไม่มีการขอคืนไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามค่ะ ส่วนเรื่องที่ยังไม่อาจจะหาคู่ครองได้ในตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป ในกรณีนี้ทุกท่านสามารถเลือกที่ตามเพื่อนๆไปอยู่ที่เมืองหลวงสเตรเชียแห่งอาณาจักรออร์ธรอส โดยทางเราจะมีที่พักให้อยู่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำงานไปในระหว่างนั้น และรอโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงอื่นๆที่จะจัดขึ้นหลังจากนี้ค่ะ

เวลน่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงคมกริบ ท่าทางของเธอในเวลาทำงานนั้นดูเฉียบคมและน่าไว้วางใจเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยที่เธอได้เลื่อนขั้นให้ขึ้นมาเป็นเมดระดับแซฟไฟร์ ซึ่งเป็นระดับที่ 3 จากหากนับจากระดับสูงสุด ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน

เอ่อ ถะ ถ้าเกิดคู่ครองที่เลือกเอาไว้ในงานนี้ได้เสียชีวิตลงไปก่อนที่พวกเราจะได้กลับไปยังอาณาจักรออร์ธรอสล่ะคะ.....

สำหรับผู้ที่ได้เป็นภรรยาของทหารนั้น พวกเธอจะได้รับสิทธิพิเศษที่เรียกว่าสวัสดิการ โดยสิทธิพิเศษนี้จะมีเงินช่วยเหลือให้สำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน และยังมีที่พักอาศัยให้อยู่ฟรี โดยสิทธิพิเศษนี้จะคงอยู่ตลอดไปแม้สามีของพวกเธอจะล้มตายในสนามรบ

แต่หากว่าที่คู่ครองเสียชีวิตลงก่อนที่จะได้แต่งงาน พวกเธอก็จำเป็นจะต้องรอโอกาสต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับคำถามก่อนหน้านี้

สำหรับกรณีนี้จะถือเป็นกรณีเดียวกันกับเมื่อสักครู่ คุณสามารถที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่อาณาจักรออร์ธรอส และรอโอกาสต่อไปได้ค่ะ

หลังจากนั้นก็มีเด็กสาวอีกหลายคนคำถามเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเวลน่าก็ตอบคำถามพวกเธอโดยไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย เมื่อตอบข้อสงสัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ชั้นก็ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลส่วนตัวของพวกเธอทุกคนลงในเอกสารและให้พวกเธอเซ็นชื่อรับรอง จากนั้นจึงมอบเงิน 1 เหรียญทองให้กับพวกเธอ

ฟลอร่า พาพวกเธอกลับไปที่รถบัสได้เลยนะคะ

หลังจากจัดการเอกสารของพวกเด็กสาว และลงบัญชีการเงินค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว เวลน่าก็เข้าไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน และได้ออกคำสั่งให้พวกเมดนำอาหารที่เตรียมมาสำหรับหมู่บ้านนี้มามอบให้ และเธอได้ยังอธิบายถึงเรื่องต่างๆอีกครู่หนึ่ง

ชั้นที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ ก็ได้พาทุกคนกลับไปที่รถบัส พวกเธอแต่ละคนมีของใช้ติดตัวมาเพียงเล็กน้อย คาดว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเธอหน้าจะมีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนกันคนละเพียงชุดเดียวเท่านั้น

นี่ถ้าหากไปถึงที่พักแล้วพบว่าพวกท่านจอมเวทได้เตรียมชุดสุดหรูหราที่มีมูลค่ามากกว่าเงินค่าสินสอดที่พวกเธอได้รับเอาไว้ให้คนละหลายชุดล่ะก็ พวกเธออาจจะดีใจกันจนสลบไปเลยก็เป็นได้.....

กับเรื่องนี้เองก็ทำให้ชั้นเข้าใจว่าพวกท่านจอมเวทนั้นใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากแค่ไหน พวกเค้าไม่เพียงแค่จ่ายเงินเดือนให้กับพวกทหารเท่านั้น แต่ยังได้คิดถึงความสุขของผู้ที่จะมาเป็นภรรยา รวมถึงเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตของพวกเธอด้วย

สิ่งต่างๆเหล่านี้ช่างแตกต่างกับการปฏิบัติต่อพวกทหารของจักรวรรดิเอลติซเป็นอย่างมาก บอกได้เลยว่าหากพวกทหารของจักรวรรดิได้ทราบเรื่องพวกนี้เข้าล่ะก็ ความจงรักภักดีที่มีต่อจักรพรรดิและบ้านเกิดอาจจะพังทลายลงเลยก็เป็นได้



-- มุมมองของดยุคคราดิส --

ช่วงสายของวันที่ 17 เดือน 8 ศักราชเอลติซปีที่ 837

ข้า ดยุคคราดิส ลา ไอกิลัส มหาเสนาธิการ และในตอนนี้ข้าก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจักรวรรดิเลเรียส ซึ่งจักรวรรดิเลเรียสของเราในตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างทำสงคามกับอาณาจักรออร์ธรอส หรือที่ผู้คนเรียกกันว่าอาณาจักรเวทมนต์

และนี่ก็ผ่านไปเพียงแค่ 3 วันแล้วตั้งแต่ที่จักรวรรดิเลเรียสได้ประกาศสงครามกับอาณาจักรออร์ธรอส แต่กองทัพเรือเหาะกว่า 30 ลำที่พวกเราส่งไปโจมตียังอาณาจักรออร์นั้นไม่ได้มีส่งข่าวคราวกลับมาเลย

ตามกำหนดการพวกนั้นน่าจะเข้าปะทะกับทางอาณาจักรออร์ธรอสแล้ว แต่ทำไมถึงได้ไม่มีข่าวกลับมากันนะ พอคิดถึงว่าพวกนั้นอาจจะแพ้ไปแล้วก็ทำให้ข้ารู้สึกปวดหัวขึ้นมา ไม่สิ มันไม่มีทางที่กองทัพเรือเหาะของเราจะพ่ายได้ภายในเวลาสั้นๆแบบนี้อย่างแน่นอน

นายท่าน มีจดหมายส่งมาจากเมืองป้อมปราการเอสต้าครับ!

หืมม เมืองป้อมปราการเอสต้าที่อยู่ทางตอนเหนืองั้นเหรอ มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่นะ

เนื้อหาภายในจดหมายมีใจความว่า ในขณะนี้เมืองป้อมปราการเอสต้าได้ถูกกองทัพเรือเหาะของอาณาจักรออร์ธรอสเข้าล้อมโจมตีและกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

หืมม แทนที่จะเข้าปะทะกับกองทัพเรือเหาะของพวกเราตรงๆ แต่พวกนั้นกลับอ้อมไปโจมตีป้อมปราการเล็กๆทางตอนเหนือของเรา นี่ช่างเป็นแผนการรบที่บ้าบิ่นน่าดู

แต่เป็นแบบนี้ก็ถือว่าโชคเข้าข้างพวกเราแล้ว นั่นเพราะหากเทียบกับเมืองอื่นๆแล้ว ถึงแม้จะสูญเสียกองทหารและเมืองป้อมปราการเอสต้าไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับกองทัพของเรามากนัก

นอกจากนั้นแล้วการโจมตีในครั้งนี้คงจะทำให้กองทัพเรือเหาะของอาณาจักรออร์ธรอสต้องสูญเสียกำลังและเชื้อเพลิงไปอย่างมาก ดังนั้นหากเราฉวยโอกาสนี้ส่งกองทัพเรือเหาะที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงไปโจมตีพวกมันในตอนนี้ล่ะก็ โอกาสชนะน่าจะมีสูงมาก

เพราะเหตุนั้นข้าจึงรีบออกคำสั่งไปยังผู้บัญชาการกองทัพเรือเหาะที่ประจำการอยู่ในเมืองหลวง ให้เคลื่อนกองทัพเรือเหาะที่เหลือทั้งไปโจมตีกองทัพเรือเหาะของอาณาจักรออร์ธรอสที่กำลังโจมตีเมืองป้อมปราการเอสต้าของเราในทันที


ช่วงเย็นของวันที่ 17 เดือน 8 ศักราชเอลติซปีที่ 837

ในช่วงเย็นของวันเดียวกันกับที่ข้าได้ส่งกองทัพเรือเหาะที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกไปยังเมืองป้อมปราการนั้น ข้าก็ได้รับจดหมายอีกฉบับ จดหมายฉบับนี้เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือทีถูกส่งมาจากบุตรชายคนโตของข้าที่ประจำการอยู่ที่เมืองไอกิลัส ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของข้าเอง

ดูเหมือนว่าพวกอาณาจักรออร์ธรอสจะแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าโอบล้อมโจมตีเมืองไอกิลัส ด้วยอาวุธเวทที่ทรงพลังและมีระยะยิงที่ไกลมาก จึงทำให้การตั้งรับของทหารฝ่ายเราค่อนข้างทำได้ลำบาก ดังนั้นหากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเราอาจจะเสียเมืองไอกิลัสไปก็เป็นได้

เห้อ....เจ้าลูกชายไม่ได้เรื่อง โดนโจมตีนิดๆหน่อยๆแค่นี้ก็ถอดใจและรีบมาขอความช่วยเหลือซะแล้ว เห็นทีหลังจากจบสงครามข้าคงจะต้องนำตัวบุตรชายคนนี้มาอบรมเสียใหม่ แต่ยังไงเพื่อความปลอดภัยแล้ว ข้าได้ตัดสินใจส่งกองทัพเจลโล่จำนวน 50,000 นายจากเมืองหลวงไปช่วยเหลือ

ระยะห่างจากเมืองหลวงเซเลสเชียไปถึงเมืองไอกิลัสนั้นอยู่ที่ประมาณ 250 กิโลเมตร ดังนั้นคงจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็ 4 วันกว่ากำลังเสริมจะไปถึง แต่ไม่ว่ายังไงก็น่าจะทันเวลา

นั่นก็เพราะตามรายงานที่ข้าได้รับมานั้น กองทัพของอาณาจักรออร์ธรอสมีจำนวนทหารเพียงแค่ไม่กี่ร้อย เพราะงั้นต่อให้พวกนั้นจะมีอาวุธเวทที่ทรงพลังมากสักแค่ไหน แต่ก็คงไม่สามารถเข้ายึดเมืองไอกิลัสที่มีทหารประจำการอยู่มากกว่า 30,000 ได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันอย่างแน่นอน

เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เพราะเหนื่อยมามากแล้วข้าจึงได้กลับไปพักผ่อนในห้องพักหรูหราภายในปราสาทเซเลสเชีย

เหนื่อยหน่อยนะคะ นายท่าน

เมดสาวผู้มีผมสีเงินเป็นประกายงดงามได้รอต้อนรับข้าอยู่ในห้องก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้เธอจะเป็นเพียงเมดแต่เธอก็เป็นเด็กสาวที่งดงามหาใครเทียบได้ยาก นอกจากราชินีอัลฟินบุตรสาวของข้าแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่มีใครอื่นภายในจักรวรรดิเลเรียสแห่งนี้ที่จะงดงามไปกว่าเมดสาวคนนี้อีกแล้ว

ดิชั้นได้เตรียมไวน์แดงรสเลิศเอาไว้ รับสักหน่อยนะคะ

เมดสาวตรงหน้าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงอันไพเราะเย้ายวนจิตใจก่อนจะรินไวน์สีแดงสดลงในภาชนะหรูหราที่วางอยู่บนโต๊ะที่ทำด้วยกระจกแสนงดงาม เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กสาวคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงได้ทำตามในสิ่งที่เธอบอกทุกอย่าง

แต่เรื่องนั้นจะมันเป็นยังไงก็ช่าง นั่นเพราะคงไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าการที่ได้อยู่ใกล้ๆเมดสาวคนนี้อีกแล้ว....



-- Extra

ทั้งการใช้วาจาและการใช้เสน่ห์ของเธอดูจะมากมายขึ้นกว่าสมัยก่อนมากเลยนะ เพียงเท่านี้แผนการของพวกเราก็คงจะสำเร็จได้ด้วยดี

ใครคนหนึ่งได้พูดเด็กสาวผู้มีผมสีเงินเป็นประกาย ไม่ใช่เพียงดยุคคราดิสที่เด็กสาวพึ่งจะออกมาเท่านั้น แต่เหล่าขุนนางใหญ่น้อยแทบทุกคนที่ทำงานอยู่ภายในปราสาทเซเลสเชียแห่งนี้เองก็ต่างหลงใหล ตกอยู่ภายใต้เสน่ห์และพร้อมที่จะทำตามที่เธอพูดกันทั้งนั้น

นอกจากนั้นแล้ว เด็กสาวก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงข้อความในจดหมายและเอกสารทุกฉบับที่ถูกส่งมาจากเขตสงครามรอบๆเมืองหลวงเซเลสเชีย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ หน่วยเจลโล่ความเร็วสูงที่มีหน้าที่ส่งสารเองก็ตกอยู่ภายใต้เสน่ห์ของเด็กสาวผมสีเงินผู้นี้เช่นเดียวกัน

ค่ะ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนอย่างเรียบร้อยดี ที่เหลือก็เพียงแค่พาตัวมหาปราชญ์เลฮาร์ทออกมา และกำจัดผู้ที่จะมาขัดขวางการโชคชะตาของทัตสึยะซามะเท่านั้น....

เด็กสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติและมุ่งหน้าไปสู่คุกใต้ดิน คุกใต้ดินที่ว่านี้เป็นคุกที่มีไว้เพื่อสำหรับขังนักโทษระดับสูงภายของจักรวรรดิเลเรียส คุกแห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดินภายในปราสาทเซเลสเชียแห่งนี้ มีการคุ้มกันที่แน่นหนาหลายชั้น ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นักโทษจะสามารถหนีออกไปได้

หยุดก่อน!! ไม่ทราบว่าเจ้ามีธุระอะไ......

เมื่อเด็กสาวผมสีเงินเดินมาถึงทางเข้า แสงจันทร์ที่รอดผ่านหน้าต่างเข้ามาก็ทำให้เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหาใครเปรียบ เส้นผมสีเงินสลวยเปล่งประกายระยิบระยับปลิวไสวงดงาม ความงดงามของเธอได้ดึงดูดเหล่าทหารยามหนุ่ม ผู้ซึ่งทำหน้านี้เฝ้าประตูคุกใต้ดินให้หันมามองราวกับต้องมนต์สะกด

ท่านดยุคคราดิสได้มีคำสั่งให้มาพาตัวนักโทษผู้หนึ่งออกไปพบน่ะค่ะ

เด็กสาวพูดพร้อมกับโชว์ตราคำสั่ง ซึ่งเป็นตราหรูหราทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์และได้มีการสลักตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลไอกิลัสเอาไว้

ผะ ผม จะ จะเป็นคนนำทางให้เอง ชะ เชิญทางนี้ เลย ครับ

ด้วยตราคำสั่งของตระกูลไอลิกัส ซึ่งในปัจจุบันดยุคคราดิสได้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาธิการและผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจักรวรรดิเลเรียส และยังความงดงามหาใดเปรียบของเธอจึงทำให้ไม่มีผู้ใดรู้สึกแคลงใจสงสัย

หลังจากนำทางไปถึงยังห้องขังแห่งหนึ่งภายในคุกใต้ดินชั้น 3 ทหารยามผู้ซึ่งนำทางเธอมาก็ได้เปิดประตูให้กับเธอ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าไปด้านในแล้ว ทหารยามหนุ่มก็ยังไม่อาจจะละสายไปจากภาพอันแสนงดงามที่ตราตรึงอยู่ภายในหัวใจของเขาไปได้

ห้องขังแห่งนี้เป็นห้องขังขนาดใหญ่พิเศษ โดยห้องขังแห่งนี้ได้สูงสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอุปกรณ์เวท ซึ่งถือเป็นความลับสูงสุดที่มีเพียงบุคคลระดับสูงของจักรวรรดิเลเรียสเท่านั้นที่จะทราบ

และผู้ที่อาศัยอยู่ภายให้ศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็คือมหาปราชญ์เลฮาร์ท ผู้ซึ่งในครั้งหนึ่งได้เคยเป็นหัวหน้านักวิจัยอุปกรณ์เวทที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเลเรียส แต่จากเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจเมื่อ 6 ปี ก่อน มหาปราชญ์เฒ่าผู้นี้ถูกได้ปลดจากตำแหน่ง และได้ถูกควบคุมตัวเอาไว้ภายในคุกใต้ดินแห่งนี้

หืมม!!? เด็กสาวอย่างเจ้ามีธุระอะไรกับชายแก่ใกล้ตายคนนี้อย่างนั้นรึ?

เมื่อเห็นเด็กสาวแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม มหาปราชญ์เฒ่าก็ได้กล่าวถามออกไป นี่เป็นเรื่องผิดปกติมาก เพราะตามปกติแล้วหากไม่ใช่การส่งอาหาร ก็ต้องเป็นพวกขุนนางเก่าแก่หรืออดีตราชินีเซริสเต้เท่านั้นที่จะมีสิทธิมายังที่แห่งนี้

ดิชั้นมีข้อตกลงมาเสนอให้กับท่านมหาปราชญ์น่ะค่ะ

ข้อตกลงรึ นี่เจ้าคิดจะเล่นตลกอะไรกัน ข้าน่ะก็แค่ตาแก่ใกล้ฝั่งข้าไม่คิดว่าจะสามารถช่วยอะไรเจ้าได้หรอกนะ คุณหนูแสนสวย

กับคำพูดของมหาปราชญ์เฒ่า เด็กสาวผมสีเงินได้ยิ้มออกมาอย่างงดงาม ก่อนที่เธอจะยื่นอุปกรณ์เวทที่ได้บันทึกภาพของเด็กสาวผู้หนึ่งเอาไว้

นี่มันอุปกรณ์เวทอะไรกัน......!! เด็กสาวคนนี้.....หรือว่าจะเป็นเลทีเชียเรอะ!!!?? นี่มันหมายความยังไง....นี่เจ้า!!! นี่เจ้าทำอะไรกับหลานสาวข้ากัน!!....ทำไมเธอถึงเข้าไปอยู่ในนี้กัน!!!!???

เมื่อได้เห็นภาพหลานสาวของตัวเองปรากฏบนอุปกรณ์เวท มหาปราชญ์เฒ่าก็ตะคอกเด็กสาวตรงด้วยความไม่พอใจ

อย่าพึ่งอารมณ์เสียสิคะ เจ้าอุปกรณ์เวทนี่มันก็แค่เก็บภาพของเธอเอาไว้ เพราะงั้นตัวเลทีเชียจังในตอนนี้จึงปลอดภัยดี ถึงก่อนหน้านี้เธอจะเจอเรื่องที่โหดร้ายมามาก แต่ชั้นก็ได้พาเธอไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน เพราะจะให้มาบอกรายละเอียดในตอนนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาเป็นว่าพวกเรารีบออกจากที่นี่ไปก่อน แล้วชั้นจะพาท่านมหาปราชญ์ไปพบกับเธอก็แล้วกันนะคะ

เด็กสาวผมสีเงินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนงดงาม หากเป็นสมัยที่ยังหนุ่มล่ะก็แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามหาปราชญ์เองก็คงจะตกอยู่ภายใต้ความงดงามของเธอเป็นแน่

ออกไปรึ? นี่เจ้าคิดว่าจะพาข้าออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆงั้นรึ? ถึงข้าจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามาก็ตามที แต่ข้าไม่คิดว่าอดีตราชินีจะปล่อยข้าไปง่ายๆหรอกนะ

เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ สำหรับชั้นแล้ว จะให้พาตัวนักโทษหรือมหาปราชญ์กี่สิบคนออกไปจากที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอกค่ะ

เด็กสาวผมสีเงินพูดพร้อมกับนำตราคำสั่งของตระกูลไอลิกัสออกมา ด้วยตราคำสั่งชิ้นนี้ แม้แต่นายทหารหรือเหล่าอัศวินก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง และถึงแม้เด็กสาวจะพูดแบบนั้นออกไป ในความเป็นจริงแล้วนั้น ต่อให้ในมือของเธอไม่มีตราคำสั่ง ก็คงไม่มีผู้ชายคนใดกล้าที่จะขัดคำพูดเด็กสาวผู้นี้อยู่แล้ว....

หลังออกไปจากคุกใต้ดินอย่างง่ายดาย เด็กสาวผมสีเงินได้พามหาปราชญ์เฒ่ากลับไปพบกับหลานสาวภายในบ้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ซ่อนลับ พวกเขาทั้งสองที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานถึง 6 ปี ต่างก็หลั่งน้ำตาแห่งความดีใจ

แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลานสาว แววตาแห่งความดีใจของมหาปราชญ์เฒ่าก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาแห่งความเคียดแค้น.....

5 ความคิดเห็น:

  1. เลทิเซีย? ใครหว่า? นึกไม่ออกอ่ะ จำไม่ได้ ไม่ได้อ่านตอนเก่าๆ นานมากล่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เลทีเชียพึ่งจะมีบทตอนนี้เองล่ะครับ อย่าไปใส่ใจ....

      ลบ
    2. ไรท์เตอร์พูดแบบมีเงี่..งำอย่างนี้ ยิ่งต้องจับตาดู

      ลบ
  2. จริงๆผมว่าแจ้งกำหนดการออกก็ดีนะครับ ผมนี่รออย่างจดจ่อจลอดเลย55

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันบอกไม่ได้หรอกครับว่าจะเขียนเสร็จตอนไหนน่ะ -0-

      ลบ