ช่วงเช้ามืดของวันที่ 4 เดือน 4 ศักราชเอลติซปีที่ 837
เมื่อผมและกองทหารทั้งหมด 1,154 นาย เดินทางมายังถึงเมืองแอสคาลซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์แอสกรัมนั้น
ตัวเมืองส่วนใหญ่ได้ถูกกองทัพผสมของศาสนจักรเข้าทำลายและยึดครองเอาไปแล้ว
ทั้งๆที่เดินทางมาด้วยความเร็วสูงสุดของเรือเหาะตลอด 14 ชั่วโมงแท้ๆ
แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถยับยั้งความเสียหายจำนวนมากที่เกิดขึ้นได้ และหากดูจากสภาพเมืองชั้นนอกที่ถูกเผาทำลายจนย่อยยับ
รวมถึงเมืองชั้นในที่กำลังอยู่ในโกลาหนวุ่นวายนั้น ทางเลือกของพวกเราคงจะเหลืออยู่ไม่มากนัก
「ย่ำแย่กว่าที่คิดเอาไว้อีกนะเนี่ย」
ผมพึมพำออกมาในขณะที่มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
จากรายการที่ได้รับมาจากลอร่าจังก่อนหน้านี้นั้น ดูเหมือนว่ากองทัพของเมืองแอสคาลที่นำโดยเจ้าหญิงอับดับที่
3
สามารถเอาชนะและทำให้กองทัพผสมของศาสนจักรถอยร่นไปได้ครั้งหนึ่งในช่วงเช้าเมื่อวาน
แต่เนื่องจากการศูนย์เสียประตูเมืองทิศเหนือให้กับกองพันอัศวินไวเวิร์น
จึงทำให้ในท้ายที่สุดนั้น ตัวเมืองชั้นนอกได้ถูกยึดครองเอาไปโดยกองทัพทหารเกราะเหล็กที่เข้ามาสมทบในช่วงเย็นของเมื่อวาน
「นายท่าน! พวกเราเตรียมการตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ ความปลอดภัยของเจ้าหญิงทั้งสองก็ได้รับการยืนยันกลับมาแล้ว
และพวกเค้าในตอนนี้กำลังขึ้นไปบนยอดหอคอยตามคำสั่งแล้วด้วยค่ะ」
คูเซียจังเข้ามารายงานให้ผมฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมต่างจากตัวเธอในเวลาปกติ
「โยช!! ถ้างั้นก็ไปรับเจ้าหญิงสุดสวยทั้งสองกันเถอะ」
ผมพูดพร้อมกับกระโดดขึ้นขี่หลังเจ้า Nero ซึ่งเป็นหนึ่งในกริฟฟอนที่ขอยืมมาจากยูเมะจัง
คาโอริจังกับนานามิจังเองก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังเจ้า Bianco
ส่วนเหตุผลที่ในครั้งนี้พวกเราไม่ได้ใช้บัพ Dimension Step รวมถึงเวทบัพอื่นๆนั้นก็เพราะจำเป็นจะต้องสำรองมานาเอาไว้ให้มากที่สุด
ดังนั้นในครั้งนี้จึงมีเพียงฮารุกะจังและเอลิซาเบธซังซึ่งเป็นกองหน้าในการทำลายกองพันอัศวินไวเวิร์นเท่านั้น ที่จะได้รับเวทบัพอย่างเต็มที่
「「「เอ้! เอ้!! โอ้!!!」」」
เมื่อปาร์ตี้ของผมและกริฟฟอนกระโจนออกไปจากดาดฟ้าของเรือเหาะ พวกหน่วยเมดติดอาวุธก็ส่งเสียงร้องเรียกกำลังใจพร้อมกับกระโจนตามหลังพวกเรามาด้วยนกเกรูโด้
ในครั้งนี้จำนวนทหารของพวกเรามีไม่มากนัก และยังต้องทำการกระจายกำลังออกไปเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองและทหารตามจุดต่างๆของเมือง
ความปลอดภัยบนเรือเหาะที่เวลน่าและเอลิเซ่ที่รออยู่เองก็คงจะประมาทไปไม่ได้ ดังนั้นหน่วยเมดติดอาวุธที่จะติดตามผมมาในครั้งนี้จึงมีแค่คูเซียจังเพียงและลูกน้องของเธออีกเพียง
5 คนเท่านั้น
ออกจากเรือเหาะมาได้เพียงครู่เดียว
พวกเราก็ถูกอัศวินไวเวิร์นจำนวนมากเข้ามาขวางเอาไว้
แต่หากเทียบกับฮารุกะจังที่กำลังถือเคียวยักษ์ที่มีลูกตากลมโตกรอกไปมาติดกับใบมีดดูน่ากลัวราวกับยมทูตในยามทีแสงจันทร์สาดส่องแล้ว
พวกไวเวิร์นก็กลายเป็นเพียงกิ่งก่าน่ารักน่าเอ็นดูเท่านั้น....
「โฮ่!! ถึงกับเอาตะกวดบินได้มาขวางทางท่านฮารุกะสุดสวยคนนี้
ช่างใจกล้ากันมากนี่นา!!」
เพียงครู่เดียวหลังจากที่อารุกะจังพูดจาข่มขวัญศัตรู เธอก็ได้วาปเข้าไปใจกลางวงของพวกนั้นและตวัดเคียวยักษ์ในมืออย่างเฉียบคมและว่องไว
และการต่อสู้ที่ไม่น่าจะเรียกว่าการต่อสู้ก็ดำเนินไปเพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น
อัศวินไวเวิร์นจำนวนหลายสิบนายก็กลายเป็นเศษเนื้อและร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
ส่วนพวกที่หวาดกลัวและพยายามจะหนีก็ได้ถูกคมเคียวสายลมที่พุ่งออกมาจัดการไปทั้งๆที่ยังไม่รู้ตัว......พลังที่ล้นเหลือนี้ก็เรียกได้ว่าสมแล้วที่เป็นอาวุธที่เกิดจากการจำแลงของเผ่าศาสตรา
「หึ หึ พวกเราก็จะคงน้อยหน้าไม่ได้แล้วนะ
ไปเตะก้นไอ้เจ้าพวกมนุษย์งี่เง่ากันเถอะ ยูซูริจัง!!」
เอลจัง....เอลิซาเบธซังที่เป็นกองหน้าอีกคนเองก็ไม่น้อยหน้ากัน
ดาบยักษ์ที่มีลูกตาอยู่เต็มข้อต่อของแต่ใบมีดในมือของเธอสามารถยึดออกไปได้เป็นท่อนๆคล้ายกับดาบงูที่เคยเห็นกันบ่อยๆในเกม
ความคมของมันนั้นยอดแถมยังสามารถยึดออกไปได้ไกลหลายสิบเมตร แค่ตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถตัดคอไวเวิร์นและอัศวินบนหลังของมันลงได้หลายคนในครั้งเดียว
วันก่อนที่เจอกันพวกเค้าไม่ได้เห็นพลังเต็มที่ออกมาให้เห็น
ดังนั้นพอมาเห็นการพลังของเผ่าศาสตราที่แปลงร่างเป็นอาวุธแบบสมบูรณ์แล้วก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนอยากได้พลังของพวกเธอมาครอบครองอย่างมาก
แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเธอไม่ยอมให้ผู้ชายอย่างผมได้สัมผัสพลังอันล้นเหลือนั้น
「「「สะ สุดยอด!!! พวกเราเองก็คงจะยอมแพ้ไม่ได้แล้วนะคะ!!!」」」
พวกหน่วยเมดติดอาวุธเองที่ได้เห็นสองยมทูตด้านหน้าไล่ฆ่าฟันศัตรูก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้
และนำเอา BeaterII และ BeaterAP700 ขึ้นเล็ง
ก่อนจะสาดกระสุนเข้าใส่กองพันอัศวินไวเวิร์นที่กำลังสับสนอย่างไม่มียั้ง......
และเพราะเหตุนั้นจึงทำให้ผม
คาโอริจังและนานามิจังฝ่ากองพันอัศวินไวเวิร์นไปยังหอคอยที่เจ้าหญิงทั้งสองกำลังรออยู่ได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ......ไม่สิ.....ในครั้งนี้คงจะต้องเรียกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวต่างหาก.....
บริเวณยอดหอคอยนั้น
พวกหน่วยราชองค์รักษ์หลายคนกำลังต่อสู้กับกองทหารเกราะเหล็กและอัศวินไวเวิร์นหลายสิบคนอยู่
จากที่เห็นดูเหมือนพวกนั้นจะมีคนเจ็บอยู่เป็นจำนวนมาก......คงเป็นเพราะกระสุน Beater หมดลงแล้วสินะถึงได้ใช้ดาบออกมาต่อสู้กันแบบนั้น
「ฝากคนเจ็บด้วยนะคาโอริจัง」
「ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ
ชั้นจะดูแลเจ้าหญิงสุดสวยทั้งสองเอง จะไม่ให้พวกเธอมีบาดแผลหลงเหลือแน่นอน」
「นานามิจัง ช่วยปกป้องคาโอริจังกับคนพวกนั้นด้วยนะ」
「ทัตสึยะซังเองก็ระหวังตัวด้วยนะคะ
ถ้าหากไม่ไหวก็ถอยออกมาได้ทุกเมื่อ ชั้นจะหาทางทำอะไรซักอย่างให้เอง」
ทั้งคาโอริจังและนานามิจังตอบผมกลับมาด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นพวกเธอก็รีบพุ่งเข้าไปช่วยเหลือพวกราชองค์รักษ์และเจ้าหญิงทั้งสองที่กำลังบาดเจ็บในทันที
「สู้กับคนที่เหนื่อยอ่อนแบบนั้นมันไม่สนุกหรอกน่า!!」
「กะ แก!! จะ จอมเวทสินะ!!! รุมแม่งเลยพวกเรา!!!!」
ผมเองก็ไม่รอช้าและกระโดดพุ่งเข้าฟาดค้อนโจมตีใส่กองทหารเกราะเหล็กหลายคนที่ตั้งแถวรออยู่อย่างต่อเนื่อง
Nero
เองก็ไม่น้อยหน้าและตวัดกรงเล็บอันแหลมคมที่เสริมพลังด้วยเวทธาตุลมเข้าใส่ด้วยเช่นกัน
เหล่ากองทหารเกราะเหล็กนั้นมีทั้งโล่และชุดเกราะที่ทำจากเหล็กชั้นดี
เพราะงั้นจึงทำให้พลังป้องกันสูงมาก
ขนาดโดนผมฟาดด้วยค้อนเหล็กเข้าอย่างเต็มกำลังก็ยังมีหลายคนที่รอดชีวิตไปได้
แต่ถึงจะรอดไปได้ในการโจมตีครั้งแรกและพยายามจะลุกขึ้นผมก็จะกระโดดเข้าไปฟาดซ้ำให้ตายอยู่ดี
เหล่าทหารเกราะเหล็กที่ถูกฟาดใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเริ่มออกอาการหวาดกลัว
บ้างก็ถูกพวกเดียวกันดันจนกระเด็นตกลงไปจากดาดฟ้าของหอคอย
บ้างก็ถูกเหยียบหรือถูกทับ บ้างก็เริ่มมองหาหนทางที่จะถอยหนี
「กะ แก!! ไอ้ปีศาจ!!
พวกแกมันเป็นปีศาจที่แอบอ้างชื่อของเทพธิดา!!
พวกแกต้องได้รับการลงโทษ!!!」
ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น เขายกดาบขึ้นสูงและวิ่งเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าเคียดแค้น.......อืมม.....ถ้าดูจากชุดก็คงเป็นพวกอัศวินศักดิ์สิทธิสินะ
ถึงจะรู้สึกแย่หน่อยๆที่ถูกชายวัยกลางคนหน้าตาบูดเบี้ยวมาพูดเรื่องแบบนี้ใส่
แต่เรื่องที่เจ้านี่พูดออกมาจะก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ.......
โทษทีนะ
ผมเองก็มีเหตุผลอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ต้องมาโกหกคนทั้งโลกแบบนี้
เพราะงั้นจะมานึกเสียใจเอาทีหลังคงจะไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ฟาดค้อนเหล็กในมือเข้าใส่อัศวินศักดิ์สิทธิคนนั้นสุดแรง
และถึงเจ้านั่นจะพยายามป้องกันเอาไว้ด้วยโล่กางเขนขนาดใหญ่
แต่ด้วยความต่างของสเตตัสก็ทำให้เจ้านั่นปลิวกระเด็นตกหอคอยไปอยู่
「เอาล่ะใครจะเป็นรายต่อไปกันนะ.........หื!!」
ระหว่างที่กำลังพึมพำอยู่ผมก็รู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาทางด้านหลัง
มันเป็นอะไรก็ไม่แน่ใจแต่มันพุ่งตรงมาที่ผมด้วยความเร็วสูงมาก
และด้วยความคิดที่ว่าการหลบออกไปคงจะไม่พ้น
ผมจึงพยายามป้องกันเอาไว้ด้วยเกราะแขนทั้งสองข้าง
「อุ!!!!」
ถึงจะป้องกันเอาไว้ได้ทันผมก็ถูกแรงกระแทกนั้นทำให้กระเด็นถอยหลังไป โชคดีที่ได้
Nero เข้ามาช่วยพยุงเอาไว้จึงไม่หล่นลงไปข้างล่าง
แต่ถึงตัวผมจะปลอดภัยแต่เกราะแขนทั้งสองข้างที่ใช้รับการโจมตีนั้นสึกกร่อนลงไปเยอะเลยทีเดียว........
ส่วนเจ้าสิ่งที่พุ่งเข้ามาโจมตีผมนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นหอกที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง......จะว่าไปแล้วไอ้หอกแบบนี้เองก็มีอยู่ในรายงานของเอริจังด้วยนี่นะ.......
「โฮ่!! ทั้งๆที่คิดว่าจะจัดการได้ในครั้งเดียวแล้วแท้ๆ สมแล้วที่เป็นจอมเวทที่ผู้คนล่ำลือกัน」
ชายหนุ่มผมทองหน้าตาหล่อเหลาปรากฏตัวออกมาพร้อมกับไวเวิร์นสีดำซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าไวเวิร์นทั่วไปเกือบสองเท่า
ดูจากท่าทางที่น่าเกรงขามรวมทั้งหอกรูปร่างแปลกๆในมือที่ส่องแสงเรืองรองสีแดงสดนั่นก็ตรงตามข้อมูลที่ได้รับมา
เจ้านี่สินะที่ถูกเรียกว่าขุนพลแดนเหนือ『ขุนพลหอกอัคคีวินาศไอโอเรีย』
「มาพูดจาเสียมารยาทแบบนี้ไม่ได้นะไอโอเรียคุง
ถึงในครั้งนี้จะเป็นศัตรูกันแต่ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นถึงผู้ปกครองอาณาจักรออร์ธรอส『เทพสงครามทมิฬ』」
และในเวลาเดียวกันกับที่ไอโอเรียพูด
เด็กสาวผมสีแดงเพลิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา เธอค่อยๆลอยลงมาจากฟากฟ้าอย่างช้าๆพร้อมทั้งจับชายกระโปรงขึ้นและย่อตัวลงเพื่อแสดงการทักทายในแบบลูกสาวขุนนาง
ทั้งๆที่กำลังอยู่ในเวลาสงครามแต่ดูเหมือนการทักทายเองก็เป็นเรื่องสำคัญสินะ
「ต้องขอโทษที่คู่หมั้นของดิชั้นพูดจาเสียมารยาทไปเมื่อสักครู่ด้วย
ดิชั้น ชาร์ล๊อตเต้ วอน เอเลพาลน่า เธอเป็นบุตรสาวคนที่ 16 ของท่านดยุดออกัสโต้
วอน เอเลพาลน่า และถึงแม้ในครั้งนี้จะเป็นการพบพานที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่
แต่ดิชั้นก็หวังว่าทัตสึยะซามะจะไม่ถือสานะคะ」
ชาร์ล๊อตเต้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม จะว่าไปแล้วเด็กสาวคนนี้เองก็มีอยู่ในรายงานเช่นเดียวกัน『เพลิงหายนะชาร์ล๊อตเต้』คือฉายาที่ผู้คนเรียกขานเธอ ด้วยวัยเพียง 13
ปีก็สามารถฝึกฝนและสร้างกองกำลังจอมเวทของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ
จอมเวทอัจฉริยะตัวจริงแตกต่างจากพวกผมที่ได้เวทมนต์ผ่านการอัพสกิลมา
แต่ถึงแม้ภายนอกเธอจะแสดงท่าทางที่ดูแล้วค่อนข้างเป็นมิตร แต่หากดูจากมานาเข้มข้นที่ห่อหุ้มร่างกายเธออยู่ในตอนนี้แล้ว
ก็สามารถบอกได้เลยว่าเธอพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเมื่อ แถมเธอยังดูท่าทางจะเป็นตัวอันตรายมากๆเสียด้วย
「ฮะๆ ผมเองก็ไม่ใช่คนใจแคบซะด้วย อีกอย่างนะ
การที่ได้มาพบกับสุภาพสตรีที่งดงามเช่นนี้ก็ถือเป็นเกียรติอย่างมาก ผม มาเอคาวะ
ทัตสึยะ ผู้ปกครองอาณาจักออร์ธรอส ยินที่ได้รู้จักนะ」
ผมเอามือซ้ายทาบอกและโค้งลงเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายกลับไป
แต่ถึงพวกเราจะแสดงท่าทางสบายๆออกมา
ผู้คนที่อยู่รอบๆกลับแสดงท่าทีกดดันออกมาอย่างเห็นได้ชัด พวกทหารเกราะเหล็กและเหล่าอัศวินไวเวิร์นที่อยู่ใกล้ๆต่างแสดงอาการออกมาแตกต่างกันด้วยใบหน้าปั้นยาก
ทางคาโอริจังยังคงยุ่งอยู่กับการรักษาพวกราชองค์รักษ์และเจ้าหญิงที่กำลังบาดเจ็บ.....ส่วนนานามิจังก็กำลังต่อสู้.....ไม่สิคงจะต้องเรียกว่ากำลังรังแกพวกทหารเกราะเหล็กอยู่ต่างหากล่ะ......
「ข้า ไอโอเรีย วอน เมลตอน…!!!!」
「ทัตสึยะซัง!!!」
และในจังหวะที่ไอโอเรียกำลังจะแนะนำตัวเองนั้น
ฮารุกะจังก็วาปเข้ามาขวางระหว่างผมกับทั้งสองคนนั้นพร้อมกับตวัดเคียวยักษ์ในมือของเธอเข้าใส่ไอโอเรียในทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นการโจมตีที่รวดเร็วของฮารุกะจัง เจ้าไอโอเรียก็ยังยกหอกขึ้นมารับเอาไว้ได้
ดูเหมือนว่าฉายา『ขุนพลหอกอัคคีวินาศไอโอเรีย』จะไม่ได้มีไว้โชว์ล่ะนะ
「หึ!....ในที่สุดเธอก็ยอมโผล่ก้นออกมาแล้วสินะ『แม่มดลูกไฟน้อยชาร์ล๊อตเต้』ทั้งๆที่เรายอมถ่อมาถึงดินแดนของพวกมนุษย์
แต่ดันมาเจอแค่ฝูงปลาซิวไร้ค่าพวกนั้นทำเอาเรารู้สึกเบื่อแทบแย่แหนะ เพราะงั้นแหละ
ช่วยทำให้เราผู้นี้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนในยามสงครามเมื่อพันปีก่อนทีเถอะ!!!」
ถัดจากฮารุกะจังก็เป็นเอลิซาเบธซัง
เธอพุ่งเจ้าโจมตีใส่ชาร์ล๊อตเต้ด้วยดาบยักษ์ในมือ แต่เธอก็สามารถรับดาบของเอลิซาเบธซังเอาไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว.....ไม่สิ....มันไม่ใช่แค่มือ.....แต่เป็นมือที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังเวทที่หนาแน่นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
และการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ต่างฝ่ายต่างลุกไล่แลกเปลี่ยนการโจมตี ปะทะกันด้วยอาวุธและเวทมนต์สลับกันไปมา บนฟากฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีของการปะทะกันด้วยพลังและความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ถึงแม้จะเป็นการสู้กันแบบ 1 ต่อ 1
แต่การที่ทั้งคู่สามารถรับมือการโจมตีของฮารุกะจังและเอลิซาเบธซังได้ก็ทำให้ผมรู้สึกตกใจมากจริงๆ
ยิ่งชาร์ล๊อตเต้ที่สามารถยิงเวทออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องร่ายยิ่งน่าทึ่งเข้าไปอีก
และในระหว่างที่ผมกำลังมองดูการต่อสู้ของพวกเธอพร้อมทั้งจัดการกับพวกลูกกระจ๊อกที่ยังหลงเหลืออยู่ด้านบนหอคอยนั้น
「โกรววววว กราซซซซซซ!!!」
ก็เกิดเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ซึ่งเสียงของมันดังขนาดที่ทำให้ดาดฟ้าของหอคอยที่ผมกำลังยืนอยู่สั่นเลยทีเดียว
เมื่อหันไปทางต้นกำเนิดของเสียงคำรามภาพที่ปรากฏออกมาก็คือมังกรสีม่วง
4 ปีกที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ เจ้ามังกรสีม่วงนั่นโผล่ออกมาจากวงเวทสีม่วงที่กว้างขวาง
และในตอนนี้เจ้านั่นก็เริ่มเผาผลาญบริเวณใกล้ๆด้วยบอลเพลิงสีม่วง.........นี่มัน.........อะไรขึ้นกันแน่นะ……
และในขณะนั้นผมก็เริ่มรู้สึกถึงมัน.......ความเจ็บปวดถาถมเข้ามายังบริเวณหน้าอกต่อเนื่องแสนสาหัส..........มันคือความโกรธแค้นที่ไม่สามารถอภัยให้ได้...........นี่มันเกิดอะไรขึ้น......ไอ้ความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหวนี่มันคืออะไรกัน......มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ........
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจได้ในทันทีคือมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่.........ยะ....ยูเมะจัง......เธอคงจะไม่เป็นไรใช้ไหม.......
แอดวางกับดักอะไรอีกคับเนี่ย สังหรณ์ไม่ดีเลย
ตอบลบมันเป็นอะไรที่...........
ลบรอติดตามตอนต่อไปในปีหน้านะครับ XD
ตอนต่อไปอีกกี่วันคับแอด
ตอบลบจะลงภายในวันที่ 1-3 มกราคมครับ ถ้าไม่มีธุระต้องออกไปไหนนะ
ลบกำลังสนุก
ตอบลบ