ตอนที่ 10 การสร้างโลกใบใหม่ บทที่ 2

-- มุมมองของทัตสึยะ --

จากที่ชั้นได้ลองไปค้นหาข้อมูลดูแล้วนั้น ดูเหมือนว่าการโจมตีใส่โตเกียวในครั้งนี้จะเป็นการทดลองอาวุธชีวภาพแบบใหม่จากประเทศมหาอำนาจทางด้านการผลิตอาวุธที่รู้สึกไม่พอใจประเทศญี่ปุ่นน่ะค่ะ

ทดลองอาวุธชีวภาพแบบใหม่กับประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนี่ยนะ ? ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ หลังจากนั้นคงได้เกิดสงครามโลกครั้งใหม่แน่ๆเลยนะ

ถึงแม้ว่าสิ่งที่เอริจังพูดออกมานั้นจะฟังดูค่อนข้างไร้เหตุผล แต่หากมันเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ผมคิดว่ามันจะต้องส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับนานาประเทศจนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งใหม่ขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าหากมันเป็นแบบนั้นล่ะก็ ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าประเทศญี่ปุ่นหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป

ถึงแม้ชั้นจะไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็เป็นไปได้สูงว่าทางนั้นจะมีเป้าหมายในการก่อสงครามโลกครั้งใหม่มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วน่ะค่ะ

....เอาเถอะ….เพราะต่อให้คิดแบบไหนยังไงพวกเราที่อยู่ทางนี้ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว…..เด๋วสิ!! ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่านี่คือสาเหตุที่เลี่ยงไม่ได้ในการอัญเชิญพวกเรามาที่โลกใบนี้ก็….

พอลองคิดทบทวนดูดีดีแล้วผมก็เข้าใจได้ในทันที นั่นก็เพราะหากพวกเราไม่ได้ถูกอัญเชิญมายังโลกลอสตาเซียล่ะก็ พวกเราทุกคนในตอนนี้คงได้กลายเป็นเพียงซากศพซึ่งถูกถล่มทับอยู่ภายใต้ห้างเซย์ริเอนที่ได้ถูกยิงถล่มจนเละแบบในภาพที่ผมกำลังเห็นอยู่ตรงหน้า

และก็แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น เพราะการที่โตเกียวถูกทำลายไปเกือบทั้งหมดนั้นก็หมายความว่านอกจากพวกเราแล้ว โอกาสรอดชีวิตของผู้คนที่ไม่ได้ถูกอัญเชิญมานั้นคงจะมีน้อยมาก ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงคนในครอบครัวและเพื่อนๆของพวกเราในโลกเก่าด้วย

ใช่แล้วล่ะค่ะ....ในตอนที่ได้รู้ความจริงชั้นเองก็ตกใจมากจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน กับความหวังเล็กๆของพวกเพื่อนๆหลายคนที่ยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้กลับไปพบหน้าคนในครอบครัว....

ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้สนใจพ่อแม่และพวกญาติๆสักเท่าไหร่นัก แต่ในหมู่พวกเราก็มีเด็กสาวหลายคนเลยที่ยังเฝ้าคิดถึงและหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับไปยังโลกเก่าเพื่อพบกับคนรักหรือครอบครัว แต่ความหวังที่เหลือเพียงเล็กน้อยนั่นก็แทบจะพังทลายลงไปทั้งหมด

นี่ถ้าหากพวกเธอเหล่านั้นได้รู้ความจริงในเรื่องนี้ล่ะก็...ไม่สิ ถึงแม้ว่าความจริงในเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ทำใจได้ยากมากสักแค่ไหน แต่การตัดสินใจปกปิดความจริงด้วยความรู้สึกส่วนตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำอย่างผมควรทำ อย่างน้อยผมก็จำเป็นจะต้องให้โอกาสทุกคนได้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง

ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกคนมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ยังไงก็มีแต่ต้องเดินหน้าไปเท่านั้นล่ะนะ

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ผมก็บอกกับเอริจังออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง เอริจังเองก็เห็นด้วยกับความคิดของผม พวกเราควรจะให้พวกเพื่อนๆได้เป็นคนตัดสินใจเอาเองว่าต้องการจะรับรู้ความจริงที่สิ้นหวังนี้หรือเปล่า

หลังจากนั้น ชั้นก็ได้เริ่มสร้างโลกลอสตาเซียขึ้นมาใหม่จากข้อมูลแบคอัพที่เลโลเชียเหลือเอาไว้โดยไม่ทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้วในอดีตก่อนหน้าที่เผ่าปีศาจจะถูกอัญเชิญ ทั้งรูปแบบการทำงานทั้งสถานที่ในการอัญเชิญเผ่าปีศาจที่ถูกตั้งระบบเอาไว้นั้นได้ถูกนำกลับคืนมาทั้งหมด

เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่จำเป็น เอริจังจึงไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอัญเชิญเผ่าปีศาจที่ได้ถูกตั้งระบบเอาไว้ล่วงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว โดยวันเวลาของโลกลอสตาเซียที่ได้ถูกแบคอัพเอาไว้นั้นก็เป็นช่วงเวลา 1 เดือนก่อนหน้าที่พวกเราจะถูกอัญเชิญไป

และเอริจังก็ได้ใช้เวลาในช่วง 1 เดือนที่ว่านั้นในการเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆทั้งหมดของโลกลอสตาเซีย เริ่มต้นจากการรวบรวมพลังงานเทพให้มากที่สุด ซึ่งนั่นก็คือการขายสิ่งของที่ไม่มีความจำเป็นทั้งหมดในอาณาเขตแห่งพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นชุดเดรสและเครื่องประดับต่างๆ ทั้งวิลล่าและของตกแต่งสถานที่พักผ่อนต่างๆ ทั้งสีสันของโลกใบนี้ ทั้งรูปแบบการมองเห็นของสิ่งต่างๆ ทั้งกำแพงและพื้นเองก็ได้ถูกขายไปทั้งหมด

เมื่อได้พลังงานเทพมากในระดับหนึ่งแล้ว เอริจังก็ได้เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงกฏแห่งพระเจ้าทั้งหมดที่เคยมีอยู่ ซึ่งนั่นก็ได้ส่งผลกระทบไปถึงพลังและอำนาจของเทพธิดาผู้ทรยศโดยตรง เอริจังยังได้ทำการปิดกั้นสะพานมิติที่เป็นเพียงเส้นทางเดียวในการเชื่อมต่อเข้ากับทวีปแอสการ์ดของเผ่าวัลคิเรีย เอริจังได้ทำการตัดกำลังทั้งหมดที่สนับสนุนเทพธิดาผู้ทรยศออกไปเท่าที่จะทำได้ แต่นั่นก็ได้ส่งผลให้เทพธิดาผู้ทรยศตัดสินใจที่จะอัญเชิญเหล่าผู้กล้าจากต่างโลกมาทดแทน

ที่ยัยเทพธิดาผู้ทรยศนั่นรู้ตัวและหาวิธีแก้ไขรวดเร็วได้ถึงขนาดนั้นก็คงเป็นเพราะ การกระทำของพระเจ้าคนใหม่ที่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆไปอย่างรีบร้อนในทันทีสินะ...

ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต่อว่าการกระทำของเอริจังเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสำหรับเอริจังที่พึ่งจะได้รับตำแหน่งพระเจ้านั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เธอจะยังไม่สามารถคาดการณ์การกระทำของเทพธิดาผู้ทรยศล่วงหน้าได้

....ชั้นเองก็รู้สึกผิดมากเลยล่ะค่ะ....ถ้าหากว่าในตอนนั้นชั้นไม่ได้ใจร้อนและค่อยๆจัดการเรื่องราวให้รอบคอบมากกว่านี้แล้วล่ะก็....บางทีมากิซามะและพวกเพื่อนๆก็อาจจะไม่ต้องพบเจอกับเรื่องราวที่เลวร้ายถึงขนาดนี้ก็ได้....

ตอนนั้นเธอเหลือเพียงแค่ตัวคนเดียวด้วยนี่นะ เพราะงั้นต่อให้เป็นตัวผมเองก็อาจจะลงมือทำในสิ่งเดียวกันกับเธอก็ได้….

ผมพูดพร้อมกับโอบกอดและลูบไล้ไปตามส่วนโค้งว้าวบนร่างเปลือยเปล่าของเอริจังอย่างอ่อนโยน เอริจังที่พยายามอย่างหนักเพียงลำพังคนเดียวเพื่อช่วยเหลือทุกคนนั้นไม่สมควรที่จะต้องมาถูกต่อว่า หรือถ้าหากมีใครที่คิดจะต่อว่าเธอจริงๆผมก็พร้อมที่จะออกหน้าปกป้องและยอมรับความผิดนั้นแทน

นอกจากนั้นแล้ว การที่รูริโกะ มากิ และพวกเพื่อนๆของเธอต้องมาถูกทรมานด้วยคำสาปนั้นก็คงจะเรียกว่าเป็นความผิดของเอริจังคนเดียวไม่ได้ และถึงแม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้ถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้ แต่สำหรับในโลกเก่าที่กำลังจะเกิดสงครามโลกขึ้นน่ะ พวกเราก็ไม่สามารถที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลยว่าพวกเธอจะต้องเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายอะไรแค่ไหนบ้าง เพราะงั้นการที่พวกเธอได้ถูกอัญเชิญมายังโลกลอสตาเซียนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าก็ได้

แล้วก็เพราะการมุ่งเป้าโจมตีไปที่ตัวเทพธิดาผู้ทรยศนั้นดูจะมีความเสี่ยงสูงมากเกินไป เพราะงั้นชั้นจึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนแผนและหันมาจัดการเสริมกำลังให้กับเผ่าปีศาจแทนน่ะค่ะ

เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเทพธิดาผู้ทรยศจะทำอะไรลงไปอีกบ้าง เอริจังจึงได้หันมาพัฒนาระบบต่างขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนเผ่าปีศาจแทน โดยสิ่งแรกที่เธอสร้างขึ้นมานั้นก็คอระบบแหวนสีเงิน ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่ทำให้เผ่าปีศาจสามารถใช้งานสกิลและเวทมนต์ที่มีได้ง่ายขึ้นมาก

นอกจากนั้นแล้วแหวนสีเงินที่ว่านั้นก็มีหน้าที่สำคัญในการตัวกลางเชื่อมพวกเราเข้ากับคริสตันแห่งพลังของเผ่าปีศาจโดยตรง ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้พวกเรารู้สึกตัวได้ในทันทีหากมีใครเข้าไปทำอันตรายกับคริสตันแห่งพลัง แต่นั่นก็ทำให้มีความเสี่ยงที่สูงมากเช่นกัน นั่นก็เพราะหากคริสตันแห่งพลังถูกทำลายไปล่ะก็ พวกเราเองก็จะต้องถูกทำลายตามไปด้วยอย่างไม่มีทางเลือก

แน่นอนว่าเอริจังไม่ได้ปล่อยจุดอ่อนในเรื่องนี้เอาไว้ เธอได้ทำการปรับแต่งระบบป้องกันให้กับวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจขึ้นใหม่ และนั่นก็ทำให้มีเพียงแค่เรมิน่าจังซึ่งมีหน้าที่เป็นเหมือนกับกุญแจเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพาคนเข้าออกวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอิสระ

เด็กคนนั้น….เรมิน่าจังเป็นกุญแจงั้นเหรอ....

พอเอริจังพูดถึงชื่อของเรมิน่าจังขึ้นมา ผมก็ได้นึกย้อนกลับไปถึงเด็กสาวโลลิผมบรอนซ์ทองแสนร่าเริง ในคืนนั้นหลังจากที่พวกเราสามารถจัดการกับราชาก็อบลินลงได้สำเร็จ เธอก็ได้เรียกให้ผมและเจ้าอากิโอะไปพบและนำทางเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ออกมาพบกับพวกเราอีกเลย

น่ารักมากเลยใช่มั๊ยล่ะคะ ชั้นสร้างเด็กคนนั้นขึ้นมาตามแบบที่ทัตสึยะซามะชอบเลยนะคะ อุฟุฟุ

ถ้าจะพูดถึงรูปร่างหน้าตาของเรมิน่าจังว่าเป็นแบบที่ผมชอบก็คงใช่ล่ะนะ....

ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เอริจังพูด เด็กคนนั้นค่อนข้างจะตรงตามแบบที่ผมชอบ เพียงแต่ว่าเธอนั้นยังเด็กมากเกินไป จะว่ายังไงดีล่ะ เธอยังดูไร้เดียงสามากจนผมไม่คิดจะว่าสามารถแตะต้องเธอได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเรายังไม่ได้มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกครั้งเลยด้วยล่ะนะ

หลังจากทัตสึยะซามะกลับไปรอบนี้คิดว่าคงจะได้เจอกันแล้วล่ะค่ะ แล้วในครั้งนี้ทัตสึยะซามะก็จะต้องประหลาดใจมากแน่ๆเลยล่ะค่ะ อุฟุฟุ

ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเอริจังมีแผนการอะไร แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ชั่วร้ายของเอริจังนั้นทำให้ผมรู้สึกหนาววูบไปทั้งตัว

หลังจากนั้นเอริจังก็เริ่มอธิบายเรื่องราวต่อไป ซึ่งนั่นก็คือการลบสกิลเก่าๆที่ไม่จำเป็นและอันตรายออกไปจากระบบ จากนั้นเธอก็ได้เริ่มทำการออกแบบและสร้างสรรค์สกิลใหม่ๆที่มีประโยชน์ต่อเผ่าปีศาจ โดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นสกิลที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับในการดำรงชีวิตในต่างโลก

สำหรับตัวอย่างนั้นก็เช่นสกิล Search ซึ่งเป็นสกิลที่สามารถใช้ค้นหาและแยกแยะความเป็นศัตรูได้ สกิล Encyclopedia ที่ได้รวบรวมความรู้และข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดของโลกเอาไว้ สกิล Duplication ที่สามารถเพิ่มสิ่งของจำเป็นต่างๆ ยังมีสกิลสร้างของประเภทต่างๆ Create-item รวมไปถึงสกิลที่เรียกได้ว่าสุดแสนจะขี้โกงอย่างสกิลปรับแต่งของใช้ Custom-Misc

ทั้งๆที่สร้างสกิลขึ้นมาได้มากมายถึงขนาดนั้น แต่ทำไมเธอถึงไม่สร้างสกิลขี้โกงมาให้กับผมบ้างเลยล่ะ ?

พอได้ยินเรื่องสกิลต่างๆแล้วผมถามเอริจังออกไปด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากเธอสามารถที่จะออกแบบและสร้างสรรค์สกิลต่างๆขึ้นมาได้ตามใจแล้วเนี่ย เธอก็น่าจะสามารถสร้างสกิลขี้โกงมาให้กับตัวผมบ้าง กับตัวผมที่ในช่วงแรกๆมีเพียงแค่พวกสกิลพื้นฐานแบบนั้นน่ะ มันทำให้ผมลำบากในการต่อสู้เป็นอย่างมากเลยล่ะ

อ๊ะร่ะ ก็เป็นตัวทัตสึยะซามะเองนะคะที่เคยพูดออกมาว่า ผมน่ะชอบที่จะค่อยๆเก็บเลเวลและพัฒนาไปพร้อมๆกับพวกพ้องทีละนิด ไอ้การใช้โปรหรือสูตรโกงอะไรพวกนั้นมันทำให้น่าเบื่อ เพราะงั้นชั้นก็แค่ทำตามความต้องการของทัตสึยะซามะเท่านั้นเองนะคะ อุฟุฟุ

.....

เมื่อได้ยินคำพูดของตัวเองแล้วก็ทำเอาผมพูดไม่ออก นั่นก็เพราะมันเป็นความจริงที่ตัวผมเองเป็นคนที่ชอบอะไรท้าทายรูปแบบนั้น เพียงแต่ว่านั่นน่ะ น่าจะเป็นตอนที่ผมเล่นเกม RPG หรือเกมออนไลน์อะไรพวกนั้นเสียมากกว่า ผมไม่คิดเลยจริงๆว่าคำพูดของผมเองจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองแบบนี้

แต่ถึงแม้ว่าจะมารู้สึกเสียใจอะไรกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปในโลกก่อนมันก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือการมองหาสิ่งที่มีความจำเป็นต่ออนาคต....แต่แล้วในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักอยู่นั้น เอริจังก็เริ่มเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายสุดๆออกมาอีกครั้ง.....

อ๊ะร่ะ นี่หลงเชื่อจริงๆด้วยสินะคะเนี่ย ก็บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือคะว่าอย่าหลงเชื่อคำพูดของชั้นง่ายๆน่ะ ทัตสึยะซามะเนี่ย ถ้าชั้นไม่ค่อยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดล่ะก็ มีหวังคงได้ถูกเด็กสาวสักคนหลอกจนหมดตัวแน่ๆเลยล่ะค่ะ อุฟุฟุ

ก็หมายความว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง.....

ใช่แล้วล่ะค่ะ ถ้าจะให้พูดถึงความเป็นจริงแล้วล่ะก็ สกิลต่างๆที่ทัตสึยะมีนั้นจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะงั้นชั้นจึงไม่สามารถที่จะส่งมอบสกิลอะไรตามใจให้กับทัตสึยะซามะได้น่ะค่ะ

สกิลของผม ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโชคชะตาของผู้คนงั้นเหรอ ?

กับคำถามที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของผมนั้น เอริจังก็ได้หยิบหน้าจอขนาดเล็กขึ้นมาและเริ่มแสดงตัวอย่างเกี่ยวกับผลกระทบต่อโชคจะตาของผู้คน....

2 ความคิดเห็น:

  1. บักทัต กลับไปแล้วอย่าลืมประกาศสงครามล่ะ เชือดตัวผู้แล้วเก็บสาวๆ เข้าฮาเร็มซะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. 0..0 กว่าจะได้กลับไปญี่ปุ่นก็จบเรื่องพอดี.....

      ลบ