6 เดือนหลังจากวันที่ทัตสึยะหลับไป วันที่ 11 เดือน 7 ศักราชเอลติซปีที่ 838
--
มุมมองของมิโฮะ –
ถึงแม้ในตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาของสงครามโลก ที่ผู้คนทั่วโลกต่างก็เฝ้าจับตามองอย่างไม่คาดสายตา
แต่ตัวชั้นซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานนายกรัฐมนตรีของอาณาจักรออร์ธรอส
ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารศูนย์กลางการปกครองอาณาจักรออร์ธรอสที่มีชื่อว่าเรียกว่า 『แบล็คเฮาส์
Black House』 เหมือนกับในช่วงเวลาปกติ
แต่ถึงแม้ชั้นจะพูดไปแบบนั้น ในช่วงเวลาสงครามแบบนี้ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากช่วงเวลาปกติอย่างชัดเจน
นั่นก็คือผู้คนที่ได้เดินทางเข้ามาพบชั้นเพื่อขอปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างๆให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก
「จากรายงานล่าสุดของเมื่อวานนี้
ดูเหมือนว่าในที่สุดชิซึกุซามะและคริสติน่าซามะจะสามารถทำลายกองทัพเรือรวมถึงฐานที่มั่นทางทะเลทั้งหมดของจักรวรรดิเอลติซและพวกศาสนจักรลงไปได้แล้วนะคะ」
เด็กสาวผมสีชมพูอ่อนในชุดเดรสสีขาวหรูหรา
องค์ราชินีจากอาณาจักรออร์ฟีน่า เธอนั้นก็คืออดีตเด็กสาวขี้แยที่เคยมาร้องไห้เพื่อขอความช่วยเหลือกับพวกเราเมื่อสองปีก่อน
ยูฟีน่าจังได้หันมาพูดกับชั้นหลังจากที่เธอได้อ่านบันทึกรายงานการสงครามทั้งหมดจบลง
「นั่นสินะคะ ถึงแม้จะใช้เวลาไปตั้งเกือบสามเดือนเพราะฝ่ายศัตรูนั้นได้กระจายกำลังกันออกไปโจมตีประเทศต่างๆทั่วทุกมุมโลกพร้อมกัน
แต่ในที่สุดเมื่อวาน กองทัพเรือของพวกเรารวมถึงกองทหารจากประเทศพันธมิตรก็สามารถยึดครองพื้นที่น่านน้ำทั้งหมดได้สำเร็จ
เพราะงั้นความเสียหายจากสงครามหลังจากนี้คงจะลดลงมากแล้วล่ะค่ะ」
ชั้นตอบกลับไปพร้อมกลับมองดูตัวเลขจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศพันธมิตรของเราที่สูงมากจนคาดไม่ถึง
ถึงแม้ว่าประเทศของเรานั้นจะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ก้าวหน้าล้ำสมัยกว่าทางฝ่ายศัตรูมาก
แต่ด้วยจำนวนทหารฝ่ายศัตรูที่มากกว่าหลายสิบเท่านั้นก็ทำให้มันเป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถทำการปกป้องเหล่าประเทศพันธมิตรได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
ในทุกๆครั้งที่มีการขอความช่วยเหลือมาจากเหล่าประเทศพันธมิตร
อากิโอะซามะและยูเมะซามะก็จะรีบนำกองทัพเรือเหาะและกองพันแวร์วูลฟ์ที่มีความคล่องตัวสูงที่สุดในหมู่กองทหารออกไปเพื่อทำการช่วยเหลือ
แต่ถึงแม้ว่าพวกเราจะรีบมากสักแค่ไหนก็ยังต้องใช้เวลาเดินทาง
แถมฝ่ายศัตรูยังได้ทำการแบ่งกองกำลังออกเป็นหลายหน่วยเพื่อเข้าไปโจมตีพื้นที่สำคัญในหลายๆจุดพร้อมกันอีก
เพราะงั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะสามารถเข้าไปทำการช่วยเหลือได้ทั้งหมด
ซึ่งนั่นก็ได้ส่งผลให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้คนนั้นมีตัวเลขที่สูงมาก
「การจะมีความเสียหายเกิดขึ้นสูงมากจากสงครามที่ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลกแบบนี้เนี่ย
ไม่ว่าอย่างไรก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะคะ เพราะการจะส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิ์ภาพสูงไปให้กับเหล่าประเทศพันธมิตรหน้าใหม่เป็นจำนวนมากเองก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ดีด้วย」
เด็กสาวผมสีบรอนซ์เงินในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่ดูสง่างาม
องค์ราชินีจากอาณาจักรซิสเนีย อดีตเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แอสกรัมผู้เคยถูกเรียกว่า 『Crimson Song ทำนองสีเลือดซิสติน่า』
ตัวเธอที่เมื่อปีก่อนนั้นได้ถูกศาสนจักรทรยศและนำกำลังทหารเข้าโจมตีเมืองนั้นได้แสดงความคิดเห็นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะแต่แฝงไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจ
「เรื่องนั้นเองก็ใช่นะคะ การจะไว้ใจพวกประเทศพันธมิตรที่พึ่งเข้ามาใหม่มากเกินไปนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องที่ดี
เพราะถ้าประเทศเหล่านั้นเกิดเปลี่ยนใจไปเข้ากับทางจักรวรรดิเอลติซและนำยุทโธปกรณ์เหล่านั้นกลับมาโจมตีพวกเราล่ะก็
คงได้เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเลยล่ะค่ะ」
ในปัจจุบันนั้น
นอกจากอาณาจักรออร์ฟีน่า อาณาจักรซิสเนียและอาณาจักรออร์คริสตี้ซึ่งเป็นอาณาจักรอานานิคมแล้ว
ทางอาณาจักรออร์ธรอสของเราได้มีการวางนโยบายสำหรับการส่งมอบอาวุธเวทและพาหนะเวทมนต์สำหรับใช้ในการสงครามไปให้กับเหล่าประเทศพันมิตรในจำนวนกำกัด
โดยจำนวนจำกัดที่ว่านั้นก็คือในระดับที่พอจะสามารถใช้ในการถ่วงเวลาเพื่ออพยพผู้คนเพียงเท่านั้น
ซึ่งการที่ทัตสึยะซังผู้เป็นคนออกนโยบายทางการทูตกับทางประเทศพันธมิตรเอาไว้แบบนั้นก็เพื่อไม่เกิดปัญหาร้ายแรงอย่างการทรยศหักหลังขึ้นมาในอนาคต
เพราะงั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆหากนโยบายนี้จะไปส่งผลกระทบให้ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศพันธมิตรนั้นสูง
「หลังจากที่สงครามได้จบลงแล้ว
ถึงตอนนั้นหากพวกเราได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูความเสียหายอย่างเต็มที่แล้วล่ะก็
ชั้นคิดว่าพวกประเทศพันธมิตรคงจะไม่รู้สึกแย่นักหรอกค่ะ」
「ชั้นเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับไอเชียซังค่ะ
เพราะหน่วยวิศวกรเวทมนต์ของอาณาจักรออร์ธรอสนั้นมีชื่อเสียงมากด้วย
ถ้าหากพวกประเทศพันธมิตรได้เห็นพลังของหน่วยวิศวกรเวทมนต์ล่ะก็
ชั้นคิดว่าพวกเค้าคงจะไม่บ่นอะไรกับการที่เมืองถูกทำลายไปชั่วคราวแน่ๆเลยล่ะค่ะ」
「หน่วยวิศวกรเวทมนต์สุดยอดไปเลยนะคะ!!! แค่ใช้เวลาไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถสร้างกำแพงเมืองขนาดใหญ่ให้กับเมืองของนู๋ได้แล้วด้วยนะคะ!!! สุดยอดของสุดยอดไปเลยนะคะ」
เด็กสาวผมสีเทาอ่อนผู้มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีการคลังและเจ้าของบริษัทเสื้อผ้าแฟชั่นขนาดใหญ่ ไอเชียซัง หญิงวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างไปจากเด็กสาวผู้มีตำแหน่งเป็นราชทูตจากจักรวรรดิเลเรียส
ดัชเชสแอสทีเรีย และสุดท้ายก็โลลิแสนน่ารักหนึ่งในคู่หมั้นของทัตสึยะซามะและผู้ปกครองเมืองแอรีส
แอเรียสจัง
ทั้งสามคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงความช่วยเหลือหลังจบสงครามออกมาในทิศทางเดียวกัน
「การให้ความช่วยเหลือหลังสงครามสินะคะ.....สำหรับเรื่องนี้แล้วชั้นเองก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดีเช่นกันค่ะ
แต่ยังไงหากจะลงรายละเอียดก็คงจำเป็นจะต้องรอให้คาโอริซังกับชิซึกุซังกลับมาจากการทำสงครามเสียก่อน」
ตัวชั้นเองนั้นก็เห็นด้วยกับการส่งหน่วยวิศวกรเวทมนต์ออกไปช่วยฟื้นฟูเมืองต่างๆที่เสียหายของประเทศพันธมิตร
เพราะในช่วงหลังมานี้
หน่วยวิศวกรเวทมนต์ของประเทศเราที่นำโดยอากาเนะจังและอาโอยจังรวมถึงผู้คนจากเผ่าคนแคระนั้นได้ออกไปสร้างผลงานที่ใหญ่โตมากมายจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกรวดเร็วในการสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆออกมาด้วยเครื่องจักรเวทมนต์ขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกและดัดแปลงวัตถุดิบต่างๆที่เคยมีอยู่ให้แข็งแรงและทนทานมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการขุดค้นสำรวจหาแหล่งแร่ใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน หรือแม้แต่การปฏิวัติวงการสิ่งก่อสร้างที่อยู่เหนือสามัญสำนึกด้วยเทคนิคล้ำยุคที่ไม่ต่างไปจากการใช้เวทมนต์
ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเข้าไปยากลำบากสักแค่ไหน
แต่เมื่อได้ทำการรับงานไปแล้ว
หน่วยวิศวกรเวทมนต์ของประเทศเราก็สามารถที่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงสมบูณร์แบบได้โดยไม่เคยมีข้อผิดพลาดเลยสักครั้ง
ด้วยชื่อเสียงทั้งหมดนั้นจึงทำหน่วยวิศวกรเวทมนต์ของประเทศเรานั้นมีงานที่ยุ่งมากจนทำให้ผู้ว่าจ้างจากนอกประเทศนั้นจำเป็นต้องขอจองคิวกันล่วงหน้ายาวหลายปีเลยก็ว่าได้
เพราะงั้นการส่งพวกเค้าเข้าไปช่วยทำการฟื้นฟูสถานที่ต่างๆที่ได้รับความเสียหายนั้นจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจะส่งผลให้พวกประเทศพันธมิตรพอใจ
แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัวชั้นจะสามารถตัดสินใจลงไปโดยลำพัง
นั่นก็เพราะอำนาจในการตัดสินใจเรื่องราวกระต่างประเทศนั้นเป็นของทัตสึยะซัง
เพราะงั้นแล้วอย่างน้อยๆชั้นก็จำเป็นที่จะต้องไปปรึกษากับคาโอริซังและชิซึกุซังซึ่งรับหน้าที่เป็นตัวแทนของทัตสึยะซังอยู่ในตอนนี้
「มิโฮะซามะ!!!
แย่แล้วล่ะค่ะ!!! แย่แล้วนะคะ!!!!」
แต่แล้วในขณะที่ชั้นกำลังคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องราวของปัญหาต่างๆที่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากสงครามอยู่นั้น
หนึ่งในผู้ช่วยของชั้นที่ทำหน้าที่จัดเรียงข้อมูลก็รีบวิ่งเข้ามาหาชั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ
「มีเรื่องด่วนอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือคะ
ลูเช่ซัง ?」
「ที่เมืองเนอราเชียค่ะ!!! ตอนนี้มีผู้อพยพเดินทางไปที่เมืองเนอราเชียเกินกว่าที่พวกเรากำหนดเอาไว้น่ะค่ะ!!!」
「มีจำนวนผู้อพยพมากเกินกว่าที่ทางเมืองเนอราเชียเตรียมตัวรองรับเอาไว้งั้นหรือคะ.....ไม่ทราบว่าจำนวนผู้อพยพทั้งหมดในเมืองเนอราเชียตอนนี้มีเท่าไหร่งั้นหรือคะ
?」
เนื่องจากสงครามในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบกระจายไปทั่วทุกมุมโลก
ดังนั้นจึงทำให้มีประเทศขนาดเล็กหลายประเทศได้ล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็เนื่องจากว่าทางอาณาจักรออร์ธรอสของเรานั้นเป็นเสมือนกับต้นเหตุของสงครามในครั้งนี้
เพราะเหตุนั้นเองจึงทำชั้นได้ออกนโยบายเร่งด่วนเกี่ยวกับช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเดือดร้อนในเรื่องของการลี้ภัย
โดยทางอาณาเขตเนอราเชียของโนเอลซังซึ่งเป็นอาณาเขตที่พึ่งจะเริ่มก่อตั้งใหม่ของประเทศเรานั้นกำลังต้องการผลเมืองจำนวนมากเข้าไปช่วยพัฒนาอาณาเขตอยู่พอดี
เพราะงั้นทางอาณาจักรออร์ธรอสของเราจึงได้ทำการประกาศออกไปยังผู้คนของประเทศต่างๆที่ได้ล่มสลายไป
โดยเนื้อหาที่ประกาศออกไปนั้นก็คือทางเลือกในการลี้ภัยเข้าไปอาศัยอยู่ในตามพื้นที่ต่างๆของอาณาเขตเนอราเชียได้เป็นกรณีพิเศษ
นอกจากนั้นแล้วการรับผู้คนเข้ามาในครั้งนี้ทางเราจะทำการรับโดยไม่คัดแยกที่มาด้วยว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร
ไม่ว่าจะมีตำแหน่งเป็นขุนนางหรือฐานะทางการเงินมากน้อยแค่ไหนพวกเราก็จะพิจารณาอย่างเท่าเทียม
แต่ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายออกไปแบบนั้น
จำนวนคนที่พวกเราสามารถรองรับได้นั้นก็ยังมีจำนวนที่ค่อนข้างจำกัด
「ยอดรวมที่ตรวจสอบได้ในตอนนี้สูงขึ้นไปกว่า 60,000 คนแล้วค่ะ
จำนวนสูงมากกว่าเป้าหมายที่ทางเมืองเนอราเชียสมารถรองรับได้ถึง 2 เท่าเลยนะคะ!!!」
「6!!!...60,000 คนงั้นหรือคะ.....นี่เป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่ชั้นได้รับข้อมูลมาจากทางกองทัพเยอะเลยนะคะ
ช่วงก่อนหน้านี้ชิซึกุซังก็พึ่งจะพาพวกทาสจากเผ่าต่างๆจำนวนมากกว่า 50,000 คนเข้ามาอาศัยในประเทศของเราด้วย....แบบนี้คงจะต้องเกิดปัญหาเรื่องเสบียงอาหารที่พวกเราสะสมเอาไว้แน่ๆเลยล่ะค่ะ.....」
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ชั้นคาดไม่ถึงมาก่อน
แต่สำหรับชั้นที่ได้ประสบปัญหาต่างๆมากมายตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาก็ไม่สามารถแสดงอาการตื่นตกใจออกไปได้
นั่นก็เพราะหากตัวชั้นที่เป็นหัวหน้าแสดงอาการออกไปล่ะก็
พวกลูกน้องที่อยูรอบๆก็คงจะรู้สึกกังวลและแตกตื่นไปด้วยแน่ๆ
「เอ่อ...มิโฮะซามะ
ทางอาณาจักรซิสเทียของชั้นกำลังจะมีโครงการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมอยู่พอดี
เพราะงั้นถ้าเป็นพวกคนจากครอบครัวเกษตรกรล่ะก็
ชั้นคิดว่าอาณาจักรซิสเทียน่าจะสามารถรับเอาไว้ได้สัก 10,000 คนนะคะ」
「อาณาจักรออร์ฟีน่าของชั้นเองก็กำลังขาดแคลนกำลังทหารสำหรับปกป้องน่านน้ำใหม่ที่พึ่งจะขยายออกไปอยู่เหมือนนะคะ
เพราะงั้นถ้าเป็นผู้คนที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับการออกทะเลล่ะก็
ชั้นคิดว่าน่าจะรับได้สัก 6,000
คนค่ะ」
เพราะเห็นว่าชั้นกำลังลำบากใจกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งสองราชินีจากอาณาจักรอาณานิคม ซิสติน่าซังและยูฟีน่าซังจึงรีบพูดข้อเสนอขึ้นมาเพื่อแสดงความช่วยเหลือ
ถึงแม้ในช่วงสงครามนี้ทั้งสองคนจะมีปัญหาภายไม่ไปต่างจากชั้น
แต่ทั้งสองคนก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือชั้นในทันที
การมีเพื่อนที่สามารถพึ่งพาได้ในเวลาลำบากนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ชั้นรู้สึกเบาใจเป็นอย่างมาก
「ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก
แต่ชั้นก็ต้องขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือมากเลยนะคะ」
「เรื่องแค่นี้เองไม่เป็นไรหรอกค่ะ
เพราะทางอาณาจักรซิสเทียของเราเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรออร์ธรอสมาแทบจะตลอดเวลาอยู่แล้ว」
「เกรงใจกันเกินไปแล้วนะคะมิโฮะซัง
หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือก็ติดต่อชั้นมาได้ตลอดเวลาเลยนะคะ」
กับคำขอบคุณของชั้น
ทั้งสองคนได้ตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
แต่ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพูดออกมาแบบนั้น
ชั้นก็เข้าใจดีว่าคนที่พวกเธอต้องการจะตอบแทนจริงๆแล้วก็คงจะเป็นทัตสึยะซังเสียมากกว่า
เพราะถ้าหากทัตสึยะซังไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือพวกเธอเอาไว้ล่ะก็
ลำพังแค่ตัวชั้นเองคงจะไม่มีทางหาเพื่อนที่สามารถพึ่งพาได้แบบนี้มาได้แน่
「ทางบริษัทไอเชียแบรนด์ของชั้นเองก็กำลังจะมีนโยบายขยายสาขาข้ามทวีปอยู่เหมือนกันนะคะ
เพราะงั้นถ้าเป็นผู้คนที่พอจะเขียนอ่านและคำนวนได้บ้างล่ะก็ จำนวนสัก 1,000 คนก็น่าจะสามารถรับเข้ามาทำงานได้แบบไม่มีปัญหานะคะ」
「นี่แอเรียส
เมืองของลูกที่กำลังขยายตัวเองก็น่าจะมีพื้นที่อยู่อาศัยที่พอรองรับชาวเมืองเพิ่มได้สัก
1,000 คนใช่รึเปล่านะ?」
「เมืองของนู๋งั้นเหรอคะ? อืมม....อืมมม....ถ้าเป็นหมู่บ้านใหม่แถวๆทอยแลนด์น่าจะมีบ้านพักที่ยังไม่ได้มีกำหนดปล่อยขายอยู่นะคะท่านแม่」
หลังจากนั้น ไอเชียซัง ดัชเชสแอทีเรียและแอเรียสจังที่ได้ฟังคำพูดของพวกเราก็ได้ยื่นข้อเสนอที่จะรับผู้อพยพจำนวนหนึ่งไปเหมือนกัน
แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ชั้นยังไม่รู้ว่าจะส่งตัวไปที่ไหน...ไม่สิ
ก่อนอื่นเลยคงจำเป็นจะต้องให้ทำการคัดแยกประเภทผู้อพยพก่อนล่ะนะ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ชั้นก็ออกคำสั่งกับลูเช่ซังให้ส่งข้อความไปยังกองทัพว่าพวกเราต้องการปิดรับผู้อพยพก่อนชั่วคราว
และจากนั้นชั้นก็ได้ข้อร้องให้ทางเมืองเนอราเชียนั้นช่วยพยายามหาหนทางในการรองรับผู้อพยพเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อยเพื่อให้ได้จำนวน
35,000 สักประมาณคน
ส่วนที่เหลือนั้นให้ส่งตัวมาที่เมืองสเตรเชียแล้วทางนี้จะทำการดูแลจัดการต่อให้เอง
「มิโฮะซามะ!!! แย่แล้วล่ะค่ะ!!!
คราวนี้แย่ของจริงแล้วนะคะ!!!!」
แต่แล้วหลังจากที่ชั้นได้ออกคำสั่งไปเพียงแค่ไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น
ลูเช่ซังก็รีบวิ่งกลับเข้ามาหาชั้นด้วยสีหน้าท่าทางตกใจ
ใบหน้าที่ซีดมากๆของเธอนั้นทำให้พวกเราทุกคนที่อยู่ภายในห้องต้องหยุดงานและหันไปฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
「ใจเย็นๆก่อนสิะคะลูเช่ซัง!
เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับพวกผู้อพยพอีกงั้นหรือคะ?」
「มะ ไม่ใช่เรื่องผู้อพยพหรอกค่ะ!!!
เป็นชิซึกุซามะค่ะ!!! ชิซึกุซามะส่งคำร้องขอความช่วยเหลือมาค่ะ ชิซึกุซามะขอให้ส่งกองเรือสนับสนุนทั้งหมดที่พวกเรายังมีเหลืออยู่เข้าไปช่วยเสริมกำลังให้กับกองทัพเรือในทันทีเลยล่ะค่ะ!!!!」
「เอ...เอ๊!!??」
ชั้นลุกขึ้นยืนและส่งเสียงร้องตกใจออกไปเพราะไม่อาจจะอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้
ในตลอดช่วงเวลา 6 เดือนตั้งแต่ที่ทัตสึยะซังได้หลับไปนั้น
กองทัพเรือที่นำโดยชิซึกุซังสามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างขาดลอย
เพราะงั้นจึงไม่มีเลยสักครั้งที่ชิซึกุซังจะร้องขอความช่วยเหลือมา
นี่มันกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่….เกิดอะไรขึ้นกับกองทัพเรือที่ไร้เทียมทานของเรากันแน่นะ....
What happened!?
ตอบลบนั่นสินะครับ 0..0 ติดตามกันต่อไป....
ลบ