--
มุมมองของคริสติน่า --
หลังจากได้รับคำร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนมาจากชิซึกุซามะ
ชั้นก็ได้รีบเร่งออกคำสั่งให้กองทัพเรือทั้งหมดของอาณาจักรออร์คริสตี้มุ่งหน้าไปยังเมืองท่าการ์เซียสซึ่งเป็นสถานที่ตั้งปัจจุบันของเรือบัญชาการเทียแมท
และก็เนื่องจากพวกเรานั้นยังไม่ได้รับรายละเอียดอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันจึงยิ่งทำให้บรรยากาศภายในกองทัพเรือของพวกเรานั้นตึงเครียดเป็นอย่างมาก
แต่การจะไปรู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอดเวลาในเรื่องที่ยังไม่รู้รายละเอียดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ดังนั้นตัวชั้นในตอนนี้จึงได้ตัดสินใจไปมาพักผ่อนและดื่มชาอยู่ภายในห้องรับรองส่วนตัว
ซึ่งอยู่บนเรือรบเกราะหนักส่วนตัวของชั้นและยังเป็นเรือบัญชาการของอาณาจักรออร์คริสตี้
โดยเจ้าเรือรบเกราะหนักส่วนตัวของชั้นลำนี้นั้นได้ถูกตั้งชื่อว่า『เรือรบเกราะหนัก เจ้าหญิงคริสติน่า Full Armor Princess Christina』และถึงแม้ว่าการนำชื่อตัวเองมาตั้งเป็นชื่อเรือนั้นจะทำให้ชั้นรู้สึกน่าอายสุดๆ
แต่เพราะมันเป็นความต้องการของทัตสึยะซามะ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ซึ่งภายในเรือลำนี้นั้นได้มีการติดตั้งอาวุธเวทระยะไกลเอาไว้เป็นจำนวนมากในระดับที่สามารถถล่มเกาะทั้งเกาะให้หายไปจากแผนที่ได้ง่ายๆ
ส่วนเหตุผลที่จำเป็นจะต้องสร้างเรือรบที่มีประสิทธิภาพสูงออกมาให้น่ากลัวถึงขนาดนี้นั้นก็เหมือนจะเป็นเพราะทัตสึยะซามะต้องการที่จะแสดงให้ผู้คนทั่วทั้งโลกได้เห็นว่า
แม้ตัวชั้นจะเป็นเจ้าหญิงของประเทศศัตรู
แต่ทัตสึยะซามะก็ได้มีการปฏิบัติกับตัวชั้นอย่างเท่าเทียม
ไม่มีความแตกต่างไปจากประเทศอาณานิคมอื่นๆ
「คริสติน่าซามะ ไม่ว่ายังไงก็ไม่คิดจะล้มเลิกความคิดในการลบล้างจักรวรรดิเอลติซไปจริงงั้นๆหรือคะ ด้วยความสามารถด้านการทูตของคริสติน่าซามะซึ่งเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางผู้ปกครองของอาณาจักรออร์ธรอสแล้ว
ชั้นคิดว่าพวกเราน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้นะคะ」
「เธอพูดมากเกินไปแล้วนะชาร์ล็อต สำหรับฐานะข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต่อสายเลือดของราชวงศ์เอลติซแล้ว
เธอไม่ควรที่ทำให้คริสติน่าซามะต้องรู้สึกลำบากใจ อีกอย่างคริสติน่าซามะก็ได้เคยอธิบายรายละเอียดและความสำคัญของเรื่องนี้ให้ฟังไปแล้วนี่」
「แต่ว่านะไอโอเรียคุง เค้าน่ะ ก็เค้าน่ะไม่อยากจะให้จักรวรรดิเอลติซต้องมาล่มสลายไปนี่นา」
「อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมารวมกับเรื่องของการเมืองสิ」
ส่วนผู้ที่กำลังถกเถียงกันในเรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิเอลติซที่ตรงหน้าของชั้นนั้นก็คือ
ขุนพลแดนเหนือ『ขุนพลหอกอัคคีวินาศไอโอเรีย Flame Lancer Aioria』และภรรยาผู้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจอมเวทอัจฉริยะแห่งจักรวรรดิเอลติซ『เพลิงหายนะชาร์ล๊อตเต้ Flame of Destruction』
โดยหลังจากที่กองทัพแดนเหนือของจักรวรรดิได้ถูกทำลายจนพ่ายแพ้ไปแล้ว
ทั้งสองคนนั้นก็ได้ประกาศขอยอมแพ้และนำกำลังส่วนที่เหลือทั้งหมดมาเข้าร่วมกับอาณาจักรออร์คริสตี้ของชั้น ซึ่งเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะตัวชั้นนั้นเป็นผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงจากอดีตจักรพรรดิและราชินีที่ยังเหลืออยู่
「สำหรับเรื่องภายในของจักรวรรดิเอลติซนั้น
จริงอยู่ที่ทัตสึยะซามะได้มอบอำนาจในการตัดสินใจจัดการเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้กับตัวชั้น แต่ถึงแบบนั้นชั้นก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องรับฟังความต้องการจากทั้งเผ่าพันธุ์อื่นๆและประเทศต่างๆที่ได้รับความเสียหายมาตั้งแต่ในอดีต
ทั้งกับพวกประเทศเล็กๆมากมายที่ได้ถูกทำลายไป
ทั้งกับพวกทาสจากหลายเผ่าพันธุ์ที่ได้ถูกกดขี่ข่มเหงจากผู้คนของจักรวรรดิเอลติซมายาวนานหลายร้อยปีแล้วนั้น
แค่การมอบพื้นที่บางส่วนในแต่ละทวีปเพื่อชดใช้ไปเท่านั้นน่ะ ไม่ว่ายังไงไม่มันก็ไม่มีทางเพียงพอหรอกนะคะ
นอกจากเรื่องของการชดใช้ในสิ่งที่จักรวรรดิเอลติซได้ทำลงไปแล้ว
พวกเราก็ยังจำเป็นที่จะต้องคิดถึงจุดยืนของผู้คนของเราในอนาคตด้วยอีก เพราะงั้นก็อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะคะ
ชาร์ล็อตเต้ซัง」
เมื่อไดรับฟังคำตอบของชั้นไป
ชาร์ล็อตเต้ซังก็ได้ก้มหน้าลงไป
ใบหน้าของเธอนั้นได้แสดงความเศร้าหมองออกมาอย่างชัดเจน
สำหรับตัวเธอแล้วจักรวรรดิเอลติซนั้นคงจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากของเธอ
ซึ่งก็แน่นอนว่าสำหรับตัวชั้นเองแล้วก็ไม่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจักรวรรดิเอลติซนั้นจะเป็นประเทศที่เลวร้ายในสายตาของผู้คนทั่วโลกไปแล้ว
แต่สำหรับตัวชั้นแล้วนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่จักรวรรดิเอลติซก็ยังเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี
แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นชั้นก็ยังไม่สามารถที่จะเอาแต่ใจตัวเองได้
เพื่อเปิดทางไปสู่อนาคตในการอยู่ร่วมกัน เพื่อไม่ให้พวกเด็กๆที่กำลังจะเกิดมาในยุคสมัยใหม่ต้องมาแบกรับบาปในอดีต
ชั้นจำเป็นจะต้องทำลายมันลงไป ชั้นจำเป็นจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิเอลติซ
สิ่งต่างๆที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายจะต้องถูกทำลายลงไป
เพราะไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะไม่สามารถสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาใหม่ได้
「แต่เรื่องของอนาคตก็ยังสามารถที่จะค่อยๆคิดแก้ไขไปได้
ปัญหาตอนนี้ก็คือเรื่องคำร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนี่ยสิ....」
ชั้นพึมพำออกไปพร้อมกับถอนหายใจ
หลังจากนั้น ในขณะที่ชั้นกำลังดื่มชาและพยายามครุ่นคิดไปอยู่สักพักหนึ่ง เสียงเคาะประตูห้องจากภายนอกก็ดังขึ้น
และเมื่อชั้นได้อนุญาตไป
เด็กสาวสองคนในชุดเมดก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางเรียบร้อย
โดยพวกเธอนั้นก็คือน้องสาวของชั้นฟลอร่าและฟิลิเน่จังซึ่งเป็นเมดส่วนตัวของเธอนั่นเอง
「โอเน่ซามะคะ นี่คือเอกสารรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นค่ะ」
「ในที่สุดก็มาถึงแล้วชั้นงั้นเหรอ....ขอบใจมากนะฟลอร่า」
ชั้นรับเอกสารมาจากน้องสาวคนสำคัญด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
แม้ในใจของชั้นตอนนี้จะรู้สึกกังวลมากสักแค่ไหน
แต่ชั้นก็ยังไม่อยากจะทำให้ฟลอร่าต้องมารู้สึกกังวลใจไปด้วย ก็ฟลอร่าในตอนนี้น่ะ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากว่าในสมัยที่เธอยังเป็นเจ้าหญิงอยู่ในปราสาทเสียอีก
เพราะงั้นชั้นจึงได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ฟลอร่าได้มีชีวิตแบบนี้ตลอดไป
และมันก็เป็นในระหว่างนั้นเอง
ที่ชั้นได้สังเกตเห็นสายตาของฟิลิเน่จังที่ได้จดจ้องไปยังคุ๊กกี้ผลไม้ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่ตรงหน้าของชั้น
ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามวางตัวให้ดูสง่างามและเรียบร้อยสมกับเป็นเมด
แต่ฟิลิเน่จังก็ยังคงเป็นเด็กสาวอายุเพียง 11 ปี ท่าทางที่พยายามจะไม่มองแต่ก็อดใจที่จะหันมาทางคุ๊กกี้ไม่ได้ของเธอนั้นช่างน่ารักจนทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจเอามากๆ
「ถ้าอยากทานขนาดนั้นจะเอาไปทานก็ได้นะจ๊ะ
แต่ว่าต้องแบ่งให้เพื่อนๆคนอื่นๆด้วยนะ ฟิลิเน่จัง」
「จริงเหรอคะ!!! ขอบคุณมากเลยนะคะ!!!
ฟิลิเน่รักคริสติน่าซามะที่สุดเลยล่ะค่ะ!!!」
「……นู๊ววววววว.......ชั้นพึ่งได้ทานไปแค่นิดเดียวเอง.....」
ฟิลิเน่จังที่ได้รับคุกกี้จากชั้นไปได้ตอบรับกลับมาด้วยรอยยิ้มร่าเริง
แต่ชาร์ล็อตเต้ซังกลับมองดูคุ๊กกี้ด้วยท่าทางสลดใจ แม้แต่แม่มดเพลิงหายนะผู้เลื่องชื่อในสนามรบอย่างเธอเองก็ดูจะไม่สามารถอดใจต่อของหวานหลากสีสันของอาณาจักรออร์ธรอสได้
「.....!!!....เรื่องนี้มัน!!!......ไอ้เจ้าเลคซิอุสมันคิดอะไรกันแน่เนี่ย!!!」
หลังจากที่ฟลอร่าและฟิลิเน่จังได้ออกจากห้องไปแล้ว
ชั้นก็เริ่มเปิดอ่านรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดคำร้องที่มาจากชิซึกุซามะ
ซึ่งเนื้อหาภายนั้นก็ทำให้ชั้นถึงกับเก็บอารมณ์โมโหเอาไว้ไม่อยู่และเผลอส่งเสียงดังขึ้นมา
「เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือคะ ? คริสติน่าซามะ」
หลังจากที่ลองอ่านรายงานอย่างละเอียดจนจบแล้ว
ชั้นก็ยื่นเอกสารรายงานไปให้กับชาร์ล็อตเต้ซังและไอโอเรียซังได้อ่านต่อ
และเมื่อได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสองคนก็ได้แสดงสีหน้าตึงเครียดออกมาในทันที
ในเนื้อหาภายในรายงานนั้นได้มีการกล่าวถึงหมอกสีดำที่กำลังค่อยๆตีแผ่ขยายวงกว้างออกไปทั่วทั้งทวีปเอโลเนีย
โดยจุดเริ่มต้นของหมอกสีดำที่ว่านั้นก็อยู่ที่เมืองหลวงเอลเคียสของจักรวรรดิเอลติซ
ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าหมอกสีดำที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงหมอกธรรมดาทั่วไป
แต่มันเป็นหมอกพิษต้องสาปที่เมื่อสิ่งมีชีวิตไปสัมผัสโดนแล้วก็จะคุ้มคลั่งและกลายร่างเป็นมอนสเตอร์ต้องสาป
「ภาพของมอนสเตอร์พวกนี้....เป็นของจริงสินะคะ คริสติน่าซามะ ?」
「ภาพพวกนี้เป็นภาพถ่ายจากสถานที่จริงที่ถูกถ่ายมาโดยโดรนเวทมนต์ของพวกหน่วยข่าวกรอง
เพราะงั้นเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูล ชั้นสามารถรับรองให้ได้ค่ะ
นอกจากนั้นแล้วผู้ที่ส่งรายงานนี้มาให้ก็เป็นชิซึกุซามะผู้เป็นน้องสาวของทัตสึยะซามะ
แล้วเธอก็ยังเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพเรือของอาณาจักรออร์ธรอสด้วยนะคะ」
เนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือสูง
เพราะงั้นแม้จะเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ แต่พวกเราก็จำเป็นจะต้องเชื่อ
โดยจากข้อมูลในรายงานนั้น ในปัจจุบันทั้งมนุษย์
สัตว์และพืชพรรณต่างๆที่ได้กลายเป็นมอนสเตอร์ต้องสาปนั้นก็ได้เริ่มทำการโจมตีรุกรากไปตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆหลายแห่งแล้วด้วย
โดยปัญหาใหญ่ที่สุดนั้นก็คือพวกมันได้บุกเข้าไปโจมตีโดยไม่มีการเลือกเป้าหมาย
จุดประสงค์ในเรื่องการใช้พวกมอนสเตอร์ต้องสาปเหล่านี้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรออร์ธรอสนั้นก็พอเข้าใจอยู่
แต่การที่พวกมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเข้าโจมตีกองทัพของอาณาจักรออร์ธรอสหรือผู้คนจากประเทศพันธมิตรเพียงฝ่ายเดียวนั้น
มันก็ย่อมต้องสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายจักรวรรดิเอลติซเองในระดับที่จินตาการไม่ออกแน่
เพราะงั้นสำหรับเรื่องนี้แล้ว
เพียงแค่ลองคิดดูก็น่าจะเข้าใจได้เลยว่ามันจะต้องเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการการล่มสลายของจักรวรรดิเอลติซอย่างแน่นอน
ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนั้นล่ะก็ ต่อให้ฝั่งนั้นทำสงครามจนสามารถเอาชนะพวกเราได้
มันก็คงจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วไม่ใช่หรือไงกัน
นี่เจ้าเลคซิอุสมันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยหรือยังไงนะ ? ไม่สิ
ไม่ว่ายังไงเจ้านั่นก็คงจะไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดนั้น….ถ้างั้นหรือจะเป็นเพราะเจ้านั่นมันไม่มีทางออกอื่นแล้ว
เพราะงั้นก็เลยคิดจะตายไปพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างงั้นเหรอ ?
แต่แม้ว่าถึงจะพยายามคิดหรือทำความเข้าใจไปสักแค่ไหน
ตัวชั้นในตอนนี้ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วได้
เพราะงั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คงจะเป็นการคิดหาหนทางมารับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยสำหรับเรื่องเร่งด่วนที่สุดนั้น
หากดูจากรายงานแล้วก็คงจะเป็นเรื่องการอพยพผู้คนออกไปจากทวีปเอโลเนีย
แต่เนื่องจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในทวีปเอโลเนียแห่งนี้นั้นมีจำนวนมากกว่าหลายแสนคน
ดังนั้นการจะอพยพผู้คนทั้งหมดคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายและยังจำเป็นจะต้องใช้เวลามาก
และนั่นก็คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชิซึกุซามะได้ยื่นคำร้องด่วนไปยังประเทศพันธมิตรหลายประเทศให้ช่วยกันนำกองทัพเรือเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ปัญหาต่อมาจากนั้นก็ยังมีเรื่องเกี่ยวกับที่พักอาศัยและยังมีเรื่องของเสบียงอาหารตามมาอีก
โดยเรื่องที่พักอาศัยชั่วคราวสำหรับผู้อพยพนั้น
ถ้าหากเป็นพื้นที่ว่างๆภายในเกาะมาลอฟทางใต้ของอาณาจักรออร์คริสตี้ชั้นก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา
เนื่องด้วยพื้นที่เกาะมาลอฟนั้นได้ถูกแยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่อย่างชัดเจน
ดังนั้นปัญหาความขัดแย้งที่น่าจะเกิดกับพลเมืองเดิมของทวีปอากัสเตรียคงจะมีไม่มากนัก
แต่สำหรับเรื่องเสบียงอาหารนั้นยังเป็นปัญหาที่ไม่ว่าชั้นจะคิดยังไงก็หาทางออกไม่ได้
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะสงครามใหญ่ในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบไปทั่วทุกพื้นที่ทั่วโลก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในตอนนี้ก็ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาความขาดแคลนทางเสบียงอาหารกันทั้งนั้น
เพราะงั้นการจะไปขอซื้ออาหารจากประเทศต่างๆนั้นคงเป็นที่เรื่องยากมากแน่
และยิ่งหากประเทศเหล่านั้นรู้ว่าเสบียงอาหารเหล่านั้นจะถูกนำไปช่วยเพื่อผู้อพยพของจักรวรรดิเอลติซซึ่งเป็นศัตรูแล้วล่ะก็
มันมีความเป็นไปได้สูงเลยที่ประเทศเหล่านั้นจะทำการโก่งราคา หรือถ้าโชคร้ายก็อาจจะต้องยอมรับข้อเสนอที่เสียเปรียบอย่างรุนแรง
เพียงแค่ลองคิดดูมันก็ทำให้ชั้นรู้สึกปวดหัวมาก....
「…..ถ้าหากตอนนี้ทัตสึยะซามะอยู่ด้วยล่ะก็…...ไม่สิ จะไปมัวแต่หวังพึ่งทัตสึยะซามะทุกเรื่องคงไม่ได้
ในตอนนี้มีแต่จะต้องทำในสิ่งที่พอทำได้ให้ดีที่สุดเท่านั้น…..」
เมื่อชั้นลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ได้มีความสุขอยู่เคียงข้างทัตสึยะซามะ
ชั้นก็ต้องถอนหายใจออกมาและส่ายหน้าเพื่อล้มเลิกความคิดง่ายๆอย่างการพึ่งพาทุกอย่างกับทัตสึยะซามะไป
「เบลตี้
ช่วยออกคำสั่งในนามของชั้นไปยังผู้ปกครองเมืองมาลอฟตะวันตก ขอให้รีบเตรียมสถานที่สำหรับรองรับผู้อพยพจำนวนหลายแสนคน
บอกไปด้วยว่าทางอาณาจักรจะรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองให้ดำเนินการเต็มที่ได้เลยนะคะ
แล้วก็ช่วยติดต่อไปยังหน่วยวิศวกรเวทมนต์ที่กำลังรับโครงการภายในอาณาจักรของเรา
บอกพวกเค้าไปด้วยว่าชั้นขอใช้อำนาจผู้ปกครองอาณาจักรออร์คริสตี้ในการขอแทรกคิวสำหรับงานก่อสร้างที่พักชั่วคราวด้วยนะคะ」
ชั้นตัดสินใจที่จะใช้อำนาจของผู้ปกครองอาณาจักรออร์คริสตี้เพื่อเข้าไปจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
เนื่องจากเรื่องของผู้อพยพนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ สูงสุดในตอนนี้
ดังนั้นแม้การใช้อำนาจแบบนี้มันจะไปทำให้หลายคนรู้สึกไม่พอใจไปบ้าง
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
「ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของเสบียงอาหารสินะ....」
ถ้าหากเป็นพวกท่านจอมเวทที่ใช้เวทควบคุมพืชได้ล่ะก็
ไม่แน่ว่าพวกเค้าอาจจะพอช่วยเหลือในการเร่งผลผลิตทางการเกษตรให้ก็เป็นได้
แต่กับพวกท่านจอมเวทนั้นชั้นไม่อาจจะใช้อำนาจไปออกคำสั่งได้
เพราะงั้นถ้าหากต้องการความช่วยเหลือก็จำเป็นจะต้องหาสิ่งที่พวกท่านจอมเวทพอใจไปให้เพื่อเป็นการตอบแทน....
และในระหว่างที่ชั้นกำลังคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาในเรื่องเสบียงอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น
ในที่สุดกองทัพเรือของพวกเราก็ได้เคลื่อนที่ผ่านเข้าไปถึงเขตน่านน้ำของทวีปเอโลเนีย
แต่ภาพที่พวกเราได้เห็นเมื่อกองทัพเรือของพวกเราเข้าไปใกล้ฝั่งนั้น
มันไม่ใช่ภาพของทวีปเอโลเนียที่เคยเป็นทวีปศูนย์กลางของโลกที่คึกคักไปด้วยผู้คน
แต่มันกลับเป็นภาพทิวทัศน์น่าหวาดกลัวที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำ
ภาพที่พวกเราได้เห็นนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่เพียงแค่มองดูจากระยะไกลก็ยังให้ความรู้สึกที่น่าสะอิดสะเอียนจนไม่อยากเข้าไปใกล้
บ้านเกิดที่ชั้นได้เติบโตมาในอดีตนั้นได้ถูกทำลายไปเสียแล้ว
จักรวรรดิใช้เวทย์ต้องห้ามอัญเชิญอสูรทำลายล้างโลกรึไง
ตอบลบนั่นสินะครับ -0-// เรียกรองบอสตัวใหญ่ๆมาให้สู้สักหน่อย.....หน่อยเดียว
ลบ