10 วันหลังจากวันที่ทัตสึยะฟื้นกลับขึ้นมา ช่วงสายของวันที่ 28 เดือน 9 ศักราชเอลติซปีที่ 838
--
มุมมองของทัตสึยะ --
หลังจากการจัดการเรื่องราวภายในและภายนอกประเทศ
เรื่องราวการเมืองการทูตและเรื่องราวของเหล่าผู้อพยพจำนวนมากที่กำลังยุ่งเหยิงมาตลอด
10 วัน ในวันนี้ที่เรื่องราวทุกอย่างค่อนข้างลงตัวแล้วนั้น ผมได้เรียกให้พวกเพื่อนๆทุกคนมาเข้าประชุมเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นกับโลกเก่า
โดยการประชุมนี้ได้ถูกจัดขึ้นอย่างลับๆไม่ให้บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับรู้ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ในห้างเซย์ริเอน
หรือก็คือปราสาทเซย์ริเอนในปัจจุบัน
ผมได้สรุปเรื่องสำคัญต่างๆที่ได้รับรู้มาจากพระเจ้าส่วนใหญ่และเล่าให้กับทุกคนฟังโดยปิดบังเรื่องราวของโลกก่อนที่ไม่จำเป็นเอาไว้
และเรื่องในปัจจุบันที่กำลังเป็นประเด็นของพวกเราในขณะนี้นั้นก็คือ เรื่องราวของสงครามโลกครั้งใหม่ที่ได้เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในวันเดียวกันกับที่พวกเราทั้งหมดได้ถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้
ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเด็กเล็กหรือคนที่ไม่มีความต้องการรับรู้ความจริงนั้นได้ถูกส่งให้ไปรอในอีกห้องหนึ่ง
「สงครามโลกครั้งใหม่
แถมยังเป็นการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพใส่ผู้คนไร้อาวุธแบบไม่มีการแจ้งเตือน เรื่องแบบนั้นน่ะ เป็นเรื่องจริงงั้นหรือคะ
?」
กับเรื่องราวที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ในยุคสมัยที่พวกเราเคยอาศัยอยู่นั้น
แน่นอนว่าต้องมีคนที่ไม่เชื่อ
โดยคนที่เป็นตัวแทนความสงสัยของทุกคนและถามคำถามผมกลับมาคนแรกนั้นก็คือมิโฮะ
เธอที่ได้ทำงานในตำแหน่งนกยารัฐมนตรีของประเทศมาเกือบ 2
ปีนั้นได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก
「ถ้าจะให้หาหลักฐานมายืนยันผมก็คงจะต้องบอกว่าไม่มีล่ะนะ
แต่ถ้าเป็นพยานสำหรับยืนยันในเรื่องนี้ล่ะก็ เจ้าลูกชายของผม
เจ้ามาเลทโต้ที่อยู่ตรงนั้นสามารถเป็นพยานให้ได้นะ」
「ฮะบู๊เย๊!!!?」
เมื่อผมหันไปมองเจ้าลูกชายของผมที่อยู่ในอ้อมกอดของมาเรียจัง
เจ้านั่นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ แววตาของเจ้านั่นที่เบิกกว้างเพราะความตกใจมันทำให้รู้สึกน่าเข้าไปกลั่นแกล้งเป็นอย่างมาก
แต่เพราะมาเรียรักลูกชายคนนี้ของเธอมาก
ดังนั้นผมจึงต้องอดใจเอาไว้เพราะไม่อยากจะทำให้เธอเป็นกังวลล่ะนะ
「เอ่อ มันเรื่องอะไรงั้นหรือคะ นี่คงไม่ใช่ว่าเด็กคนนั้นเป็นคนที่มาจากโลกเก่าของพวกเรา.....หรือว่าเด็กคนนั้นจะมีความทรงจำในชาติก่อน
เหมือนกับในนิยายหลายๆเรื่องงั้นหรือคะ ?」
「เอ๋!!!!
เรื่องจริงงั้นหรือคะ!!!? ชั้นก็ว่าเจ้ามาเลทโต้นี่มันแก่แดดผิดปกติ
ที่แท้ก็เป็นพวกลามกมาเกิดใหม่นี่เอง!!!! วะ ฮ่า ฮ่า
คราวนี้แหละ ท่านฮารุกะจังคนนี้จะลงโทษเด็กลามกให้เอง!!!!」
「ก็เป็นแบบที่พวกเธอคิดนั่นล่ะ
เพราะการจะไปช่วยเหลือโลกเก่านั้นจำเป็นจะต้องใช้เวลายาวนานหลายสิบปีในการสร้างเรือข้ามมิติ
เพราะงั้นผมเลยขอให้พระเจ้าช่วยคัดเลือกคนที่พอจะมีประโยชน์ในเรื่องนี้ให้ได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้น่ะ」
ตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่ในอาณาเขตแห่งพระเจ้านั้น
ผมได้ทำการปรึกษากับเอริจังที่เป็นพระเจ้าในเรื่องต่างๆหลากหลายเรื่อง
และการนำทางดวงวิญญาณของผู้คนที่เสียชีวิตจากสงครามโลกในญี่ปุ่น ให้ได้มาเกิดใหม่ในใบโลกนี้เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมกับเอริจังได้เตรียมการเอาไว้
「แต่ถ้าต้องใช้เวลาในการสร้างเรือข้ามมิติยาวนานหลายสิบปีล่ะก็
แบบนั้นถึงพวกเราจะกลับไปได้ก็อาจจะไม่สามารถช่วยผู้คนได้แล้ว....」
ยูเมะจังพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงกังวลใจ
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เธอพูด เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นนั้นได้ผ่านไปกว่า 2
ปีแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงความเสียหายจำนวนมากที่ไม่อาจจะประเมินได้
ดังนั้นหากต้องรออีกหลายสิบปีล่ะก็
การจะกลับไปช่วยเหลือผู้คนนั้นหลังจากนั้นคงจะเป็นเรื่องยากแน่ๆ
แต่สำหรับเรื่องนั้นเองผมก็ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นเดียวกัน
「ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะยูเมะจัง
แล้วก็เพราะเรื่องนั้นน่ะแหละ
ที่ทำให้พวกเราจำเป็นจะต้องไปรวบรวมศิลาแห่งพระเจ้ามาให้ครบ และด้วยการใช้พลังของศิลาแห่งพระเจ้า
มันก็จะทำให้เรือข้ามมิติที่กำลังสร้างขึ้นมานั้นสามารถก้าวข้ามกาลเวลาได้ด้วย
ดังนั้นแม้จะต้องใช้เวลาในการสร้างเจ้าเรือข้ามมิติที่ว่านั่นยาวนานหลายสิบปี
แต่ความหวังที่พวกเราจะสามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนจำนวนมากได้นั้นก็ยังพอมีเหลืออยู่
ถึงแม้จะยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ต้องการทั้งหมด
แต่นี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะนะ」
「ขอบคุณมากนะคะทัตสึยะซัง......ถึงแม้ชั้นจะไม่รู้ว่าพลังเทพธิดาที่ชั้นได้รับมาจะสามารถช่วยเหลือได้แค่ไหนก็ตาม
แต่ชั้นก็จะช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เรื่องของศิลาแห่งพระเจ้าเองก็ด้วยค่ะ」
ยูเมะจังพูดพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาพิงร่างกายของผม
ยูเมะจังเองก็น่าจะมีเพื่อนหรือคนในครอบครัวหรือผู้คนที่เธอรู้จักหลายคนที่กำลังรอคอยอยู่ในโลกเก่า
เพราะงั้นถึงแม้ว่าความหวังในการช่วยเหลือทุกคนได้มันจะน้อยมาก
แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
การที่ตัวเองนั้นไม่มีพลังมากพอและไม่สามารถช่วยเหลือผู้คนที่เรารักได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คงต้องรู้สึกเจ็บปวด
ยิ่งกับยูเมะจังที่อ่อนโยนและเป็นที่รักของผู้คนมากมายแล้วด้วย ความเจ็บปวดที่เธอได้รับนั้นผมไม่สามารถประเมินได้เลย
「พลังของ『เทพธิดาแห่งความเมตตาเอลไมน์』ที่อยู่ภายในร่างกายของเธอนั้นเป็นกุญแจสำคัญในทุกเรื่อง เพราะงั้นหลังจากนี้เองก็ที่ต้องขอฝากเธอด้วยเหมือนกันนะ ยูเมะจัง」
หลังจากที่ผมได้ปลอบโยนยูเมะไปสักครู่หนึ่งแล้ว
ผมก็เริ่มพูดถึงสิ่งจำเป็นต่างๆที่พวกเราจำเป็นจะต้องทำเพื่อที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายสำคัญที่พวกเราตั้งเอาไว้
โดยก่อนอื่นเลยนั้นก็คือการทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากพระเจ้า
ซึ่งนั่นก็คือการช่วยเหลือโลกใบนี้ให้พ้นจากวิกฤตในการล่มสลาย
「โฮ่ ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นที่โลกเก่ากำลังย่ำแย่ แต่โลกนี้ก็กำลังถึงวิกฤติจะล่มสลายด้วยงั้นเหรอ
นี่พวกเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตื่นเต้นสุดๆไปเลยนี่นา」
「นั่นสินะคะอากิโอะซัง แต่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าหากมีอากิโอะซังกับทัตสึยะซังอยู่ล่ะก็
ชั้นคิดว่าพวกเราคงจะต้องผ่านมันไปได้อยู่แล้วล่ะค่ะ」
เจ้าอากิโอะแสยะยิ้มและพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าสนุกสนาน
ริกะจังที่อยู่ข้างๆเจ้าอากิโอะก็พูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ ภายในดวงตาของเธอนั้นไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
เธอนั้นเชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้และผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
「โอนี่ซามะ เอ่อพวกเราไม่มีวิธีอื่นที่จะกลับไปญี่ปุ่นเลยหรือคะ
อย่างเวทมนต์ต้องห้ามหรืออะไรพวกนั้นน่ะค่ะ」
「นะ นั่นสินะคะ ถะ ถ้าหากสามารถกลับไปช่วยครอบครัวได้ล่ะก็ ไม่ว่าเรื่องอะไรชั้นก็จะยอมทำ
ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือคะ」
「ทะ ทัตสึยะซังคะ ชั้นเองก็มีน้องชายที่ยังเล็กและแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่ที่โลกเก่า
พะเพราะงั้นถ้าพอจะมีหนทางอื่นล่ะก็....」
เมื่อรูริโกะเอ่ยปากถามขึ้นมา
พวกเด็กสาวหลายคนที่รู้สึกช็อคเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เริ่มได้สติกลับมา
พวกเธอนั้นแม้จะมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะเลเวลที่เพิ่มขึ้น
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น การที่ได้มารับรู้เรื่องเลวร้ายแบบนี้อย่างกะทันหันมันทำให้พวกเธอนั้นตั้งสติไม่ทัน
「ต้องขอโทษด้วยนะ แต่คนที่สามารถวาปข้ามมิติไปมาระหว่างโลกได้อย่างอิสระน่ะ
มีเพียงแค่ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นพระเจ้าแค่คนเดียว แต่การจะไปอยู่ในอีกโลกมันก็จำเป็นจะต้องใช้พลังเทพจำนวนมหาศาลด้วย
ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พระเจ้าเข้าไปแทรกแซงและทำการช่วยเหลือ สิ่งที่พระเจ้าพอจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้นั้นก็คือการติดต่ออีกโลกหนึ่งผ่านทางดวงวิญญาณ
ซึ่งนั่นก็ทำได้แค่กับผู้ที่กำลังจะตายเพียงเท่านั้น」
「ทัตสึยะซังคะ ตอนที่พวกเราถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้
ทางจักรวรรดิได้บอกว่าพวกเราจะสามารถกลับบ้านได้หากรอเวลาให้คริสตันแห่งพลังสะสมมานาประมาณ
3 ปี เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกงั้นหรือคะ ?」
แต่ถึงแม้จะได้ฟังคำตอบของผมกลับไป
ซากุระโกะจังก็ยังคงไม่ยอมทิ้งความหวัง เธอจึงได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องการอัญเชิญและส่งกลับของผู้กล้า
แต่เรื่องนั้นเองก็น่าเสียดายที่มันเป็นไม่ใช่ความจริง
「เหมือนกับการอัญเชิญผู้กล้า การกระทำแบบนั้นมันจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการสะสมมานาเป็นจำนวนมหาศาล
จากข้อมูลที่ผมได้รับมา คริสตันแห่งพลังนั้นจำเป็นจะต้องใช้เวลาสะสมมานายาวนานกว่า
100 ปี
แต่การนำมานาที่สะสมไว้จำนวนมากมาใช้กับเวทมนต์ต้องห้ามแบบนั้นน่ะ
มันถือเป็นการทำลายสมดุลสิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้อย่างรุนแรง และการที่พวกเธอได้ถูกอัญเชิญมาครั้งนี้เองก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้โลกเสียสมดุลไปเป็นอย่างมากจนเข้าชั้นวิกฤต
เพราะเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องต้องห้ามที่ถูกตราเอาไว้ในกฏแห่งพระเจ้ายังไงล่ะ」
「นั่นสินะคะ ไม่ว่าจะอยากกลับไปช่วยเหลือครอบครัวยังไง แต่การทำให้ผู้คนในโลกใบนี้เดือดร้อนก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี
เข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ชั้นเองจะทำทุกอย่างตามแผนที่ทัตสึยะซังวางเอาไว้ค่ะ」
เมื่อไม่มีคนถามคำถามต่อแล้ว
ผมก็ได้เริ่มอธิบายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเพราะความสมดุลของโลกใบนี้ที่ได้เริ่มสูญเสียไป
โดยผลกระทบอย่างแรกที่เกิดขึ้นนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับจำนวนประชากรมนุษย์ของทั้ง
10 เผ่าพันธุ์ที่ลดลงไป ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้จำนวนมอนสเตอร์นั้นเพิ่มขึ้นจนเกินกว่าที่ควรจะเป็นมาก
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมอนสเตอร์ขึ้นในโลกนี้มาจากการที่ซากพืชซากสัตว์หรือสิ่งของต่างๆได้สะสมมานาเข้าไปจำนวนมากจนทำให้เกิดมีชีวิตขึ้นมา
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะมาจากการที่มีมานาเอ่อล้นออกมาในอากาศมากเกินไป และการที่มันกลายเป็นแบบนั้นก็อย่างที่บอกไปในตอนแรก
มันเป็นผลกระทบมาจากการที่จำนวนประชากรมนุษย์ที่ควรจะดูดซับและมานาไปใช้งานนั้นลดลง
โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่เน้นการใช้เวทมนต์แทนสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นพวกเอล์ฟและดาร์คเอล์ฟ
ซึ่งหากสภาวะมานาเอ่อล้นนี่ต่อเนื่องยาวนานไปมากเท่าไหร่ล่ะก็
พื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก็จะต้องถูกกลืนกินไปจนหมด และถ้าหากเป็นแบบนั้นล่ะก็ คงจะไม่จำเป็นต้องบอกว่าโลกใบนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
「เพราะงั้นวิธีการแก้ไขที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดก็คือการเพิ่มจำนวนประชากรของหลายๆเผ่าพันธุ์ที่เน้นการใช้เวทมนต์ที่ว่านั่น แต่ถึงแม้ผมจะพูดแบบนี้ แต่การจะเพิ่มจำนวนผู้คนของเผ่าพันธุ์พวกนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างที่คิดกันหรอกนะ
เพราะก่อนอื่นเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนประชาการลดลงนั้นก็เป็นเพราะคริสตันแห่งพลังของแต่ละเผ่าพันธุ์ได้ถูกเผ่ามนุษย์แย่งชิงเอาไป
การที่ถูกชิงเอาคริสตันแห่งพลังไปใช้งานเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เผ่าเดียวนั่นน่ะ
มันได้ส่งผลกระทบทำให้เผ่าพันธุ์อื่นๆมีลูกได้ยากขึ้นมากด้วย
เพราะงั้นก่อนที่จะเริ่มต้นเรื่องทุกอย่าง
สิ่งแรกก็คือการไปชิงเอาคริสตันแห่งพลังทั้งหมดกลับคืนมา ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่าพวกเราจำเป็นจะต้องเอาชนะสงครามกับทางจักรวรรดิเอลติซ
และการจะทำแบบนั้นก็หมายความว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการไปเผชิญหน้ากับคำสาปมรณะที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพธิดาผู้ทรยศ」
ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีว่าการเข้าไปเผชิญหน้ากับคำสาปแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแค่ไหน
แต่ในแววตาของทุกคนที่อยู่ภายในห้องประชุมแห่งนี้ ก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่จะแสดงความรู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวังออกมา
ทุกคนนั้นต่างก็แสดงแววตาที่ลุกโชนไปด้วยกำลังใจเต็มที่
the war will coming, bro
ตอบลบใกล้จะถึงจุดจบเสียที -0-//
ลบ