ตอนที่ 6 ต้นกำเนิดสงครามศักดิ์สิทธิ์


-- มุมมองของทัตสึยะ --

สำหรับต้นกำเนิดของสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มาจากเรื่องราวความรักของเจ้าชายเอลเกรซและเทพธิดาสีครามแห่งความโลภ เธโอเนีย 1 ใน 6 เทพธิดาที่คอยรับใช้พระเจ้าเลโลเชียรุ่นก่อน โดยเรื่องราวนั้นได้เกิดขึ้นในสมัยที่โลกลอสตาเซียกำลังอยู่ในช่วงสงครามระหว่าง 10 เผ่าพันธุ์น่ะค่ะ

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 900 ปีก่อน ในช่วงเวลาที่ทั้ง 10 เผ่าพันธุ์ได้ทำสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองโลกใบนี้อยู่นั้น โดยเรื่องราวนั้นได้เกิดขึ้นหลังจากที่เผ่าอีนอส(เผ่าพันธุ์มนุษย์)ได้เอาชนะและเข้ายึดครองพื้นที่ของเผ่าโลลิเทีย(เผ่าพันธุ์ผีเสื้อ) เผ่าเมลนอส(เผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์) และเผ่าโดวาฟ(เผ่าพันธุ์คนแคระ)ไปเรียบร้อยแล้ว

คืนวันหนึ่งในช่วงกลางฤดูหนาว เจ้าชายเอลเกรซผู้เป็นคนรักของเทพธิดาเธโอเนียนั้นได้พบกับเด็กสาวแสนสวยผู้หนึ่งจากเผ่าแวมไพร์ และถึงแม้เจ้าชายเอลเกรซจะรู้ดีว่าความรักระหว่างเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกันในสงครามนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามแต่เค้าก็ไม่อาจที่จะละเลยเด็กสาวแสนสวยที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ในคืนวันนั้น พวกเค้าทั้งสองที่ต่างก็ถูกสเน่ห์มากมายจากอีกฝ่ายดึงดูดเข้าหานั้นได้ทำการแลกเปลี่ยนความรักแก่กันอย่างเร่าร้อน แต่เนื่องจากว่านั่นเป็นครั้งแรกของเด็กสาว เธอที่ยังไม่สามารถควบคุมพลังเวทและความกระหายเอาไว้นั้นได้เผลอสูบเอาพลังชีวิตของเจ้าชายเอลเกรซไปทั้งหมด

หลังจากคืนนั้น เด็กสาวเผ่าแวมไพร์ที่ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้หลบหนีไปโดยไม่ได้บอกอะไรกับใคร สิ่งที่เธอเหลือเอาไว้นั้นมีเพียงร่างที่ไร้วิญญาณของเจ้าชายเอลเกรซที่มีตราประทับเลือด ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเจ้าชายเอลเกรซได้ถูกสังหารโดยฝีมือของคนจากเผ่าวาลาร์ดเพียงเท่านั้น

ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกที่เด็กสาวคนนั้นเลือกหนีไปอยู่หรอก...แต่แล้วพอยัยเทพธิดาแห่งความโลภนั่นมารู้เรื่องเข้าก็เลยโกรธ จากนั้นก็เลยประกาศเป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ?」

ใช่ค่ะ เทพธิดาเธโอเนียทั้งโกรธแค้นและเสียใจต่อการสูญเสียชายเพียงหนึ่งเดียวที่เธอรักเป็นอย่างมาก แต่ก่อนหน้าที่เธอจะตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้น เทพธิดาเธโอเนียได้กลับไปยังอาณาเขตแห่งพระเจ้าเพื่อขอให้เลโลเชียช่วยคืนชีวิตให้แก่เจ้าชายเอลเกรซน่ะค่ะ

แต่แล้วพระเจ้าเลโลเชียผู้ปกครองอาณาจักรแห่งพระเจ้านั้นซึ่งเป็นเหมือนกับความหวังสุดท้ายของเทพธิดาเธโอเนียก็ได้ปฏิเสธคำขอของเธอ ซึ่งเหตุผลหลักที่เลโลเชียปฏิเสธก็เป็นเพราะการคืนชีพให้แก่มนุษย์นั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฏแห่งพระเจ้า

โดยกฏแห่งพระเจ้านั้นเป็นกฏสูงสุดที่พระเจ้าโลเลเชียตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ควบคุมการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นภายในโลกลอสตาเชีย ผู้ที่ทำการฝ่าฝืนกฏนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเทพธิดาหรือแม้จะแต่เป็นตัวเลโลเชียเองก็จำเป็นที่จะต้องถูกลงโทษโดยไม่มีการละเว้น

แล้วก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้เทพธิดาเธโอเนียรู้สึกไม่พอใจในตัวพระเจ้าเลโลเชียเป็นอย่างมาก เธอก็เลยตัดสินใจที่จะเลิกติดตามรับใช้เลโลเชีย และเทพธิดาเธโอเนียก็ได้เริ่มทำการฝ่าฝืนกฏแห่งพระเจ้าโดยการเข้าไปออกคำสั่งกับทางศาสนจักรของทางเผ่ามนุษย์โดยตรงน่ะค่ะ

โดยคำสั่งแรกของเทพธิดาเธโอเนียนั้นก็คือการกล่าวโทษเผ่าวาลาร์ด(เผ่าพันธุ์อมตะ)ที่ดูดกินชีวิตของเผ่าพันธุ์อื่น จากนั้นก็ได้ทำการออกประกาศว่าเผ่าวาลาร์ดและเผ่าเลอเฟีย(เผ่าพันธุ์ดาร์คเอล์ฟ)นั้นเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืดที่ชั่วร้ายและควรจะต้องถูกกำจัดไปในทันที

ซึ่งก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้ประเทศต่างๆภายใต้ศาสนจักรนั้นได้ทำการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์แห่งความมืดที่ชั่วร้ายขึ้น หลังจากนั้นประเทศต่างๆที่เข้าร่วมกับศาสนจักร ก็ได้ร่วมมือกับและนำทหารบุกเข้าไปโจมตีทวีปอาเดเนียซึ่งเป็นทวีปของเผ่าพันธุ์วาลาร์ด

โดยเป้าหมายการล้างแค้นในครั้งนี้นั้นไม่ใช่เพียงแค่เผ่าวาลาร์ดและเผ่าเลอเฟียเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพวกเทพธิดาคนอื่นๆที่คอยช่วยเหลือปกป้องทุกเผ่าพันธุ์อย่างเท่าเทียมตามคำสั่งของเลโลเชีย และก็แน่นอนว่าเทพธิดาเธโอเนียนั้นยังคิดจะกำจัดเลโลเชียซึ่งเป็นพระเจ้าด้วย

ถ้าหากสามารถกำจัดเลโลเชียซึ่งเป็นพระเจ้าคนปัจจุบันไปได้ล่ะก็ เทพธิดาเธโอเนียก็จะสามารถยึดครองอาณาเขตแห่งพระเจ้า เธอคิดจะปรับเปลี่ยนกฏแห่งพระเจ้าด้วยการขึ้นไปเป็นพระเจ้าเอง จากนั้นเธอก็จะทำทุกวิธีเพื่อที่จะคืนชีวิตให้กับชายคนรักน่ะค่ะ

แต่แผนการของเธโอเนียนั้นก็ถือได้ว่าเป็นความผิดพลาด เพราะกองทัพทหารของเผ่ามนุษย์รวมกับพวกทหารทาสจากเผ่ามนุษย์สัตว์นั้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ได้มีกำลังกล้าแข็งพอที่จะต่อกรกับเผ่าพันธุ์ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งอย่างเผ่าวาลาร์ดและเผ่าเลอเฟีย

แถมเผ่าวาลาร์ดในตอนนั้นยังได้ร่วมมือเป็นพันมิตรกับเผ่าดราเกีย(เผ่าพันธุ์มังกร)เผ่าเอเฟีย(เผ่าพันธุ์เอล์ฟ)และเผ่าโฟเกีย(เผ่าพันธุ์วิหค)เรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นสงครามศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้นจึงเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับครั้งแรกของศาสนจักร

ทั้งๆที่เจ้านักบวชลามกพวกนั้นโอ้อวดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ทำถูกต้องเพราะมีเทพธิดาคอยหนุนหลัง แต่พอกำลังทหารของตัวเองแพ้ขึ้นมาก็หนีตายกันโดยไม่สนใจสาวกที่คอยติดตามปกป้องพวกมันเลยสักนิด พวกมันช่างเป็นพวกหมูสวะขี้แพ้ไร้ค่าจริงๆเลยนะคะ อุฟุฟุ

แล้วก็เป็นเพราะการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในครั้งนั้นเอง ที่ทำให้กองทัพพันธมิตรของเผ่าวาลาร์ดสามารถโจมตีโต้กลับมายังทวีปเอโลเนียซึ่งเป็นทวีปของเผ่าอีนอส และการบุกจู่โจมในครั้งนั้นก็ได้ทำให้เผ่าอีนอสตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตจนเรียกได้ว่าเกือบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต เทพธิดาเธโอเนียนั้นก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ และเธอก็ได้ตัดสินใจฝ่าฝืนกฏแห่งพระเจ้าอีกครั้งด้วยการอัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลก ด้วยพลังจากคริสตันแห่งพลังของเผ่าอีนอสและอีก 3 เผ่าที่รวบรวมมาได้ รวมเข้ากับมานาของดวงวิญญาณจำนวนมากที่ได้ล้มตายไปในสงครามศักดิ์สิทธิ์ เทพธิดาเธโอเนียก็อัญเชิญผู้กล้าออกมาได้สำเร็จทั้งหมด 4 คน

ด้วยพลังที่มากมายของผู้กล้าทั้ง 4 ซึ่งปรากฏตัวออกมาในช่วงที่กองทัพพันธมิตรของเผ่าวาลาร์ดเริ่มอ่อนแรง สุดท้ายเทพธิดาเธโอเนียจึงสามารถนำพาเผ่าอีนอสให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตเกือบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์และพวกสาวกของศาสนจักรทั้งหมดนั้นได้หันมาให้ความสำคัญกับคำสอนของเทพธิดาเธโอเนีย มากกว่าพวกเทพธิดาคนอื่นๆรวมไปถึงตัวพระเจ้าเลโลเชียด้วยน่ะค่ะ

และก็เนื่องจากความผิดร้ายแรงในการละเมิดกฎแห่งพระเจ้าต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง เทพธิดาสีแดงแห่งความเกรี้ยวกราดเฟรลาซจึงได้ถูกเลโลเชียสั่งให้ไปจับกุมตัวเทพธิดาเธโอเนียผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพธิดาผู้ทรยศมาลงโทษ

แน่นอนว่าเทพธิดาเธโอเนียนั้นได้วางแผนรับมือเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะงั้นแทนที่เทพธิดาเฟรลาซจะสามารถควบคุมตัวเทพธิดาเธอโอเนียเอาไว้ได้ เธอที่ประมาทเพราะไม่คิดว่าจะถูกตอบโต้นั้นก็ได้หลงกลไปติดกับดักของเทพธิดาเธโอเนียและได้ถูกเหล่าผู้กล้าร่วมมือกันสังหารไปในที่สุด

หลังจากนั้น เทพธิดาผู้ทรยศที่มีชัยเหนือเทพธิดาเฟรลาซก็ได้นำอาวุธเทพธิดาของเทพธิดาเฟรลาซไปมอบให้กับโอดีนจอมราชันแห่งเผ่าวัลคิเรีย(เผ่าพันธุ์นักรบสวรรค์)ผู้ซึ่งที่มีความเคียดแค้นกับคนของเผ่าวาลาร์ดที่ได้มาลักพาตัวบุตรสาวของตนมาอย่างยาวนาน

และก็เนื่องจากทางผู้คนของเผ่าวัลคิเรียส่วนใหญ่นั้นมีความต้องการที่จะกำจัดเผ่าวาลาร์ดและเผ่าอื่นๆที่เกะกะมานานแล้ว เพราะงั้นโอดีนจึงไม่มีความลังเลที่จะร่วมมือกับเทพธิดาผู้ทรยศ และจากการร่วมมือกันในครั้งนี้จึงทำให้เผ่าวาลาร์ดและเผ่าอื่นๆที่เป็นพันมิตรทั้งหมดได้พ่ายแพ้และสูญเสียอาณาเขตพื้นที่รวมถึงคริสตันแห่งพลังของเผ่าพันธุ์ไป

แน่นอนว่าการกระทำที่ส่งผลเสียต่อสมดุลของโลกลอสตาเซียมากมายถึงขนาดนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเลโลเชียไม่สามารถยอมรับได้ เพราะงั้นเลโลเชียก็เลยตัดสินใจส่งเทพธิดาทั้ง 4 ที่เหลืออยู่ออกช่วยเหลือและให้การคุมครองเหล่าเชื้อสายราชวงศ์และบรรดาคนสำคัญต่างๆของเผ่าทั้ง 5 ที่ได้พ่ายแพ้และสูญเสียคริสตันแห่งพลังไปน่ะค่ะ

แต่ก็แน่นอนว่าทางเทพธิดาผู้ทรยศนั้นไม่คิดจะยอมปล่อยให้มีใครหนีไปได้ง่ายๆ และเธอก็ได้ใช้วีธีสกปรกต่างๆเช่นการใช้คำสาปเพื่อหลอกใช้งานเผ่าเรียให้ไปต่อสู้กับเทพธิดาทั้ง 4 และนั่นก็ทำให้เทพธิดาสีน้ำตาลแห่งความเมตตาเอลไมน์ และเทพธิดาสีม่วงแห่งความเย่อหยิ่งเมลดีนได้ถูกสังหารไป

ด้วยการเสียสละของเทพธิดาทั้ง 2 จึงทำให้ในที่สุดเทพธิดาสีเงินแห่งความปราดเปรื่องเลซาเรียและเทพธิดาสีทองแห่งความรักเซฟฟรานสามารถที่จะพาเหล่าเชื้อสายราชวงศ์และบรรดาคนสำคัญต่างๆของเผ่าทั้ง 5 หนีไปหลบซ่อนตัวในอาณาเขตลับที่เทพธิดาผู้ทรยศไม่สามารถเข้าถึงได้สำเร็จ

หลังจากที่ทำภารกิจได้สำเร็จแล้ว เทพธิดาทั้งสองก็ได้กลับไปยังอาณาเขตแห่งพระเจ้าเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปในการต่อสู้และไม่ได้ออกไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในโลกลอสตาเซียอีกเลย

หลังจากนั้น มหาสงคราม 10 เผ่าพันธุ์ซึ่งกินเวลามายาวนานหลายร้อยปีได้สิ้นสุดลงไปด้วยชัยชนะของเผ่าอีนอสและเผ่าวัลคิเรีย และก็เป็นในตอนนั้นเองที่บุตรสาวเพียงคนเดียวของเทพธิดาผู้ทรยศกับเจ้าชายเอลเกรซนั้นได้เข้าพิธีแต่งงานกับผู้กล้า และพวกเค้าก็ได้ช่วยกันก่อตั้งจักรวรรดิเอลติซในเวลาต่อมาหลังจากนั้น

แต่ถึงแม้ว่าหมาสงคราม 10 เผ่าพันธุ์จะจบลงไปแล้ว สงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงถูกประกาศขึ้นมาใช้งานอยู่อีกหลายครั้ง โดยทุกครั้งนั้นล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าเป็นการกระทำเพียงเพื่อขยายอำนาจให้กับพวกนักบวชและพวกสาวกของศาสนจักรเพียงเท่านั้น

หากทางศาสนจักรไม่พอใจใครหรือประเทศไหนล่ะก็ ผู้คนและประเทศเหล่านั้นก็จะถูกกล่าวหาว่าให้ความร่วมมือกับเผ่าพันธุ์แห่งความมืดและถูกทำลายไปในทันที และก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้ศาสนจักรที่เคยทำตามคำสอนของเทพธิดาทั้ง 6 นั้นได้กลายเป็นศาสนจักรที่ทำตามแค่คำสอนของเทพธิดาผู้ทรยศเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ที่โบสถ์และวิหารตามเมืองต่างๆที่พวกเราผ่านไปเจอนั้นมีแต่เพียงแค่รูปปั้นของเทพธิดาเพียงคนเดียวก็เป็นเพราะแบบนี้เองสินะ ?

ใช่แล้วล่ะค่ะ!! มันน่าโมโหสุดๆใช่มั๊ยล่ะคะ!!? เพราะการกระทำของไอ้เจ้านักบวชชั่วลามกพวกนั้นน่ะ มันส่งผลกระทบให้พระเจ้าคนใหม่ที่พึ่งจะเข้ามารับหน้าที่อย่างชั้นต้องทำงานอย่างลำบากสุดๆ การที่ไม่มีทั้งโบสถ์หรือพวกสาวกผู้ให้ความศรัทธากับพระเจ้าอย่างชั้นเลยสักคนเนี่ย มันทำให้ชั้นแทบจะไม่มีขนมอร่อยๆกินเลยนะคะ!! ฟุบู๊วว!!!

เอริจังทำแก้มป่องและพูดออกมาด้วยแววตาไม่พอใจสุดๆ ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ไอ้อาการหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรงที่เธอแสดงออกมาก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั่นทำให้เธอไม่มีขนมอร่อยๆกินสินะ....หืมม...แล้วพระเจ้านี่จำเป็นจะต้องกินขนมอะไรแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ ?

แต่ว่านะเอริจัง ผมคิดว่าการจะเล่าเรื่องราวในอดีตที่มีละเอียดเยอะแยะมากมายถึงขนาดนี้ให้สามารถเข้าใจได้ง่ายแล้วเนี่ย เธอน่าจะใช้เวทมนต์หรืออุปกรณ์เวทที่สามารถฉายภาพในอดีตได้มาประกอบการอธิบายนะ อย่างเวลาที่พวกเราไปดูหนังหรืออนิเมะมันก็มักจะมีพวกฉากหรือเหตุการณ์ที่คล้ายๆแบบนั้นให้เห็นกันอยู่บ่อยๆใช้มั๊ยล่ะ!!?

ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเอริจังนั้นมีเวทมนต์หรืออุปกรณ์เวทที่สามารถฉายภาพที่เกิดขึ้นในอดีตอยู่หรือเปล่า แต่ผมก็อยากจะแสดงความคิดเห็นออกไปเผื่อว่าเธอจะลืมนึกถึงเรื่องแบบนี้ไป ก็นะ กับตัวเธอที่เป็นถึงพระเจ้าแล้วเนี่ย หากเธอจะมีเวทมนต์หรืออุปกรณ์แบบนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

ของแบบนั้นจะว่ามีมันก็เคยมีอยู่หรอกค่ะ.....แต่ตอนนี้มันไม่มีอยู่แล้วน่ะค่ะ....

หืมม....เคยมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้วงั้นเหรอ ?

ผมถามกลับไปด้วยความรู้สึกสงสัย...ของที่เคยมีอยู่แต่ตอนนี้กลับไม่มีแล้วเนี่ย นั่นก็หมายความว่า.....

.....คือชั้น.....ขายมันทิ้งไปแล้วน่ะค่ะ......

ฮะ!!!?

ขายทิ้งไปแล้วเนี่ยนะ!!! กับคำตอบพร้อมกับท่าทางที่ดูเขินๆของเอริจังนั้น ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่าเธอน่ารักสักแค่ไหน แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกว่าการกระทำของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถจะทำใจยอมรับในทันทีได้จริงๆ
  

2 ความคิดเห็น:

  1. ช่วงต้นตอนถึงช่วงท้าย-อืม...ประวัติความเป็นมันฝังรากลึกขนาดนี้เลยเชียว ไม่แปลกที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้
    แต่ช่วงท้ายสุด-.........(ปวดหัวเลย ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ เอริจังคนเก่ง)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เรื่องราวมันมีเหตุผลอยู่นะครับ รอติดตามกันต่อไป.....หุหุ

      ลบ